ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ เริ่มขยายวงมากขึ้น หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาการเจรจาความร่วมมือระหว่างกันประสบความล้มเหลว โดยสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีน เพิ่มเป็น 25% วงเงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมกว่า 5,000 รายการ ขณะที่จีนตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้มีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย.เช่นเดียวกัน
ความกังวลดังกล่าว ทำให้ดัชนีดาวน์โจนส์ปิดตลาดเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2562 ปรับตัวลดลง 98.68 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 25,764 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 16.79 จุด หรือ 0.58% ปิดที่ 2,859.53 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 81.76 จุด หรือ 1.04% ปิดที่ 7,816.29 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นลอนดอน ได้รับแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,348.62 จุด ลดลง 4.89 จุด หรือ -0.07% เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2562
ขณะเริ่มต้นสัปดาห์นี้ เริ่มมีการตอบโต้กันระหว่างธุรกิจสหรัฐและจีน กรณีกูเกิลประกาศยกเลิกความร่วมมือกับหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ของจีน และมีบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐทยอยออกมาประกาศระงับการทำธุรกิจกับบริษัทหัวเว่ยตามมา ส่งผลให้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 30.86 จุด หรือ -1.07% ปิดที่ 2,851.44 จุด เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2562
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (20-24 พ.ค.62) มองว่าดัชนีมีโอกาสรีบาวด์จากที่ปรับตัวลงมาลึกมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้แรงขายเบาบางลง และทิศทางการเมืองในประเทศที่น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่การปรับขึ้นของดัชนีน่าจะยังจำกัดอยู่ในกรอบแนวต้าน 1,650 จุด เพราะตลาดยังรอปัจจัยจากสงครามการค้าเป็นหลัก ส่วนแนวรับมองไว้ที่บริเวณ 1,590 จุด
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูการเปิดเผยตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1/62 และตัวเลขการส่งออกของไทยในสัปดาห์นี้ด้วยเนื่องจากหลายหน่วยงานของไทยได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกและการเติบโตของจีดีพีลงแล้ว จากผลกระทบจากปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทยต่อไป
ด้านบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวอยู่ในแนว 1,600 และ 1,590 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,620 และ 1,630 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/62 ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง และสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
stock2morrow
ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่