FootNote : บูมเมอแรง จากที่ดิน 1,700 ไร่ กระทบต่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กรณีการยึดครองที่ดินกว่า 1,700 ไร่ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ กำลังส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งในทางการเมือง เหมือนจะเป็นเรื่องเฉพาะตัว น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์
แต่เมื่อมี “ผู้ใหญ่” ของรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องและสัมพันธ์ได้ทำให้ที่ดินกว่า 1,700 ไร่มิได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ และครอบครัวเท่านั้น
หากส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้พัน
เนื่องจากเป็นที่ดินในป่าสงวนจึงเกี่ยวกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเนื่องจากเป็นที่ดินส.ป.ก.จึงเกี่ยวกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สายตาที่จ้องมองก็คือ จะจัดการกับ “ปัญหา” อย่างไร
ประเด็นในเรื่องการจัดการกับปัญหาของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นำไปสู่การเปรียบเทียบกับคดีความลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นกับคนอื่นโดยอัตโนมัติ
โดยเฉพาะเมื่อมีสถิติยืนยันว่ามีชาวบ้านหลายแสนคนเคยประสบชะตากรรมในคดีแบบเดียวกันนี้
หลายคนถูกจับ หลายคนติดคุกได้รับความยากลำบาก
แต่กับกรณีการถือครองที่ดินกว่า 1,700 ไร่ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้รับการจัดการแตกต่างออกไป และส่อให้เห็นว่าอาจเป็นการจัดการในเชิงให้โอกาสแก่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ เป็นอย่างสูง
เนื่องจากเป็น ส.ส.ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ และเป็นมือไม้สำคัญในการปกป้องให้กับรัฐบาล ไม่ว่าบทบาทต่อสื่อ ไม่ว่าบทบาทเมื่อเป็นกรรมาธิการ
การเปรียบเทียบกับคดีอื่น คนอื่นนี่แหละแหลมคมและสำคัญ
ต้องยอมรับว่าสภาพการณ์ทางสังคมในปัจจุบันความเชี่ยวชาญในคดี ลักษณะอย่างนี้มิได้อยู่ที่กรมป่าไม้ มิได้อยู่ที่สำนักงานปฏิรูปที่เดินเพื่อ เกษตรกรรมเท่านั้น
หากยังมีที่ นายดำรงค์ พิเดช หากยังมีที่ นายวีระ สมความคิด ซึ่งเกาะติดคดีแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง
จึงกลายเป็นว่าไม่ว่ากรมป่าไม้ ไม่ว่าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กำลังปฏิบัติตามธงที่ นายดำรงค์ พิเดช และ นายวีระ สมความคิด ชี้ดักล่วงหน้า ไม่ทำก็ไม่ได้
สายตาที่มองไปยัง “รัฐบาล” จึงมากด้วยความแคลงคลาง กังขา