โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

'Ending' with Happy เสมอไปมั้ย ? มองชีวิตรักผ่าน Marriage Story

SistaCafe

อัพเดต 23 ม.ค. 2563 เวลา 19.46 น. • เผยแพร่ 22 ม.ค. 2563 เวลา 14.00 น. • earnmss

จากทั้งที่ยังรัก
เพื่อให้เจ็บ แต่ 'จบ' ดีกว่า
การเจ็บไปเรื่อยๆ ดีกว่าจริงมั้ย ??

[spoiler alert]
ถ้าใครที่ได้ลองเปิดNetflix ช่วงนี้ คงจะได้เจอกับปกหนังรัก อย่างเรื่อง Marriage Story  ที่ดูเผินๆ แล้ว หลายๆ คนคงจะมองว่าเป็นหนังรักโรแมนติกสุดซึ้งอย่างแน่นอน และถ้าใครรู้ตัวว่าเป็นหนึ่งในแฟน หนังแนว ดราม่า ความรัก ความสัมพันธ์ เนี่ยแหละ นับเป็นอีกเรื่องแห่งปี ที่ควรดูมากๆ เลยแหละ
ที่ยกเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะอยากแนะนำ หนัง - รัก (เรียกว่า หนังรัก ได้หรือเปล่านะ)เรื่องนี้ ว่าเป็นเรื่องที่อยากจะให้ คู่รักทุกคู่ ได้นั่งเสพอารมณ์ของตัวละครทั้งพระเอกและนางเอกไปด้วยกัน รวมไปถึง คนโสดเอง ถ้าอยากจะรับรู้ถึงห้วงความสัมพันธ์สุดดิ่งของคนมีคู่ดูบ้าง ก็มาเรียนรู้ได้จากเรื่องหนังเรื่องนี้ได้เช่นกัน 
  

อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า ภาพบนโปสเตอร์หนังดูเผินๆ เหมือนจะเป็นหนังโรแมนติก เพราะประกอบไปด้วยตัวละคร 3 พ่อแม่ลูกกอดกันปนรอยยิ้มกันอย่างหวานชื่น และเมื่อยิ่งบวกรวมเข้าไปกับ ฉากต้นของเรื่องที่เปิดด้วยภาพ Flashback และได้ให้พระ-นาง 2 ตัวละครเอก อย่าง ชาร์ลี(อดัม ไดรฟ์เวอร์) และ นิโคล (สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน) เล่าเรื่องดีๆ ของกันและกัน ดูไปก็อมยิ้มไป 

แต่เมื่อการเล่าเรื่องของแต่ละคนจบลง หนังกลับฮุกหมัดใส่คนดูเข้าอย่างจัง ตั้งแต่ต้นเรื่อง และทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ หนังเรื่องนี้ มันไม่ใช่หนังรักหวานชื่นแบบที่เข้าใจตอนต้น แต่กำลังดำเนินกลายไปเป็นหนังดราม่า ที่ได้ถึงจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ของคู่พวกเขาแล้ว นั่นก็คือ การหย่า นั่นเองค่ะ 

'' ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ฉันแค่ส่งเสริมการมีชีวิตอยู่ของเขา "
 
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในบ้านของเราคือรสนิยมเค้า ฉันไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่า รสนิยมของฉันเป็นแบบไหน เพราะฉันไม่เคยถูกขอให้ใช้มันเลย "
มันคงจะแปลก ถ้าเค้าหันมาหาฉันและพูดว่าแล้ววันนี้คุณอยากทำอะไร ฉันไม่เห็นค่าของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ฉันแทบไม่หลงเหลือความเป็นตัวเองอยู่เลย " 
นี่คือบางช่วงบางตอน ที่นางเอกได้เผยความรู้สึกบางอย่างผ่านทางคำพูด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเด็นสำคัญของการตัดสินใจจบความสัมพันธ์กว่าเกือบ 10 ปี ของเขาทั้งคู่ และได้เลือกที่ทำ การหย่า ในครั้งนี้ เกิดจากการที่ตัวนางเอกเอง เริ่มรู้สึกได้ว่า พระเอกไม่เห็นค่าในตัวเธอ และเธอเองก็เริ่มไม่เห็นค่าในตัวเอง และไม่ได้หลงเหลือความเป็นตัวเองในความสัมพันธ์นี้เลย ซึ่งนั่นได้ทำให้นางเอกตัดสินใจ ที่จะเลือกจบความสัมพันธ์ แล้วหันกลับมา ' สร้างคุณค่าให้ตัวเอง ' อีกครั้ง…… 

นั่นก็คือ นางเอก ตัดสินใจ
ฟ้องหย่า = การจบความสัมพันธ์คู่รัก 
ในขณะที่ทั้งคู่ยัง รักกันจากใจจริง เลยทำให้พวกเขาสามารถ รักษาความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เอาไว้ได้…

อยากรู้ว่าจะมีสักกี่คู่ ที่เมื่อเลิก หรือ จบความสัมพันธ์กันแล้ว จะยังสามารถพูดคุย เจอหน้า และทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม โดยไม่มีเรื่องอื่นๆ ของทั้งสองฝ่าย มาบาดหมางใจ อย่างคู่นี้ใน Marriage Story (2019) บ้าง แต่ถ้าหากเราได้ไปอยู่ในจุดเมื่อชีวิตคู่ เดินทางมาถึงจุดที่ไม่สามารถประคองกันต่อไปได้อีกก็เชื่อว่า การหย่า ก็คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว 

*** = เจ็บทีเดียว แต่ จบอย่างถาวร = ……


*ประเด็น การหย่าร้าง ในสังคมอเมริกัน *

ถ้าหากพูดถึงการหย่าร้าง , การฟ้องหย่า ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเกิดพบได้บ่อยมาก ในสังคมอเมริกาเลยก็ว่าได้ ถ้าสังเกตจากสำนักทนายมีอยู่เยอะแยะมากมายเต็มประเทศสหรัฐอเมริกา และทนายสำหรับคู่สมรสก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งงาน ที่เรียกได้ว่าติดอันดับ รายได้สูง อยู่เสมอ แต่สำหรับคู่นี้ที่เราได้เห็นผ่านจากหนังเรื่อง Marriage Story (2019) ก็ทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจฟ้องหย่า คู่ชีวิตของตัวเอง ที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมา 

สำหรับอัตรา การหย่า ในช่วงที่ผ่านมาของ อเมริกา นั้นมีเกณฑ์สูงขึ้นกว่า ทศวรรษที่ 1960 ถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียวค่ะ หรือถ้าหากจะสมมติให้เข้าใจง่ายๆ ก็เทียบได้ว่าในคน 100 คน จะพบว่ามีประมาณ 15 คน ที่ได้ผ่านการหย่ากับหรือแยกกันอยู่กับคู่ครองมาแล้ว นั่นเองค่ะ 

สาเหตุของการหย่าร้างส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้มาจาก การนอกใจ แต่จริงๆ แล้วสาเหตุหลักๆ ของการฟ้องหย่า นั้นมาจากเหตุผลของ การขาดการสื่อสารกันและกัน ซะมากกว่า โดยมีเฉลี่ยมากถึง 73 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวค่ะ รองลงมาจะเป็นเรื่องของการมีปากเสียงกัน และตามมาด้วย เรื่องของความเจ้าชู้ค่ะ ซึ่งเหตุผลการหย่า จากสถิติ ก็ค่อนข้างที่จะสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับในหนังเลย แสดงว่าให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว การสื่อสารกันและกัน เพื่อให้เข้าใจความต้องการได้ตรงกัน ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการประคองชีวิตคู่ให้อยู่ไปด้วยกันได้อย่างยาวนานได้มากขึ้นนั่นเองค่ะ 

*เราได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ *

จำเป็นแค่ไหนที่ต้อง Ending with Happy ?

หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ พบว่า บนหน้าเรามีรอยยิ้มจาง ปนอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จบอย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่มันก็เป็นอารมณ์ที่บอกกับตัวเองว่า จบแบบนี้ ดีที่สุดแล้วแหละ เพราะเราเชื่อว่าตัวผู้กำกับเอง ก็คงอยากจะทำให้ตัวละครแต่ละตัวไหลไปตามเหตุผลของตัวเองมากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างที่จะลงตัวต่อทุกคน ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เราก็แอบถือว่าเรื่องนี้ถึงจะไม่ใช่หนังรักซะทีเดียว แต่ก็จบได้ Happy Ending ในตัวของมันแล้วล่ะค่ะ
***พอดูจบ ความอินกับหนังมันยังคงไหลเวียนอยู่ในหัว (เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเป็นเหมือนเรา) เราจึงกลับมาย้อนถามตัวเองว่า จริงๆ แล้ว หนังน้ำดีเรื่องนี้ให้อะไรเรา และเราได้อะไรจากหนังเรื่องนี้มาบ้างนะ


ซึ่ง หนังเรื่องนี้ สามารถทำให้เรา ตอบคำถาม ที่ถามทิ้งไว้ตอนเปิดได้แล้วว่า การจากทั้งที่ยังรัก
เพื่อให้เจ็บ แต่ 'จบ' ดีกว่า
***การเจ็บไปเรื่อยๆ นั้นมัน ดีกว่า จริงๆ แหละ


เพราะแท้จริงแล้ว ความรัก ไม่จำเป็นที่ต้องEnding ด้วยความ Happy เสมอไป คนเรามักจะคาดหวังมโนภาพ ชีวิตคู่ ในมุมมองแค่ของตัวเอง บางคนฝันอยากให้แฟนทำแบบนั้น แบบนี้ จนหลงลืมไปว่า ชีวิตคู่ = สองชีวิตร่วมกัน ดังนั้น มันไม่ไม่เพียงภาพจินตนาการเพียงแค่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น หากมีใครที่ ต้องฝืนความเป็นตัวเอง เพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์นั้นๆ ให้มันดำเนินไปด้วยดี แต่ การฝืน มันอาจะทำให้เราหมด คุณค่าความเป็นตัวเอง ไปโดยที่เราไม่รู้ตัวแบบนางเอก และสุดท้ายอาจกลายเป็นการจบความสัมพันธ์ และลงเอยด้วย การหย่า แบบในเรื่องนี้ก็ได้นะ
แล้วคุณล่ะ กำลังมีความรักแบบไหนอยู่ ? ที่แน่ๆ อย่า หลงลืมความเป็นตัวเอง และลดคุณค่าตัวเองเพื่อใครเลย และฉากจบแบบHappy Ending จะเข้าหาเธอเอง…

ติดตามบทความใหม่ๆได้ที่ SistaCafe Facebook
SistaCafe เว็บไซต์รวบรวมบทความสำหรับผู้หญิง https://sistacafe.com
♥ ดาวน์โหลด App SistaCafe ฟรีได้แล้ววันนี้! ♥
iOS : AppStore
Android : PlayStore

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0