3 วันระหว่างวันที่17-19 ตุลาคม ในสภาผู้แทนราษฎรสะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่างคนต่างวัย คนต่างรุ่นออกมาอย่างเด่นชัด
ภาพ 1 มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทน
แวดล้อมโดยคนอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คนอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ภาพ 1 มีคนหนุ่มสาวจากหลายพรรคการเมืองเป็นตัวแทน
ไม่ว่าจะเป็น น.ส.จิราพร สินธุไพร จากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคอนาคตใหม่
ภาพแรก อาวุโสอย่างยิ่ง โบราณอย่างยิ่ง
ภาพหลัง อ่อนเยาว์อย่างยิ่ง ทันสมัยอย่างยิ่ง ปรากฏพร้อมกับการนำเสนอผ่านคลิป ผ่านพาวเวอร์พอยต์
โดยมี “น้ำร้อน”เป็น”เส้นแบ่ง”อย่างสำคัญ
พลันที่ นายนิติพลผิวเหมาะ จากพรรคอนาคตใหม่ร่ายเรียงในเรื่องฝุ่นซูเปอร์จิ๋วพร้อมกับเชิญชวนให้ติดตามฟังทางยูทูบ ฟังผ่านสมาร์ทโฟน
ก็สัมผัสได้ในความหงุดหงิดอันมาจาก “ผู้อาวุโส”
พลันที่ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในแวดวง สตาร์ทอัพ และบิตคอยน์ บรรยายถึงความล้มเหลวของกระทรวงดิจิตัล เศรษฐกิจและสังคม
ก็สัมผัสได้ในอาการอืดเฟื้อเรอเหม็นเปรี้ยวจาก”ผู้อาวุโส”
แม้เหตุผลที่ว่า “อาบน้ำร้อนมาก่อน”จะใช้ได้อย่างเหมาะสมต่อกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ แต่เมื่อเข้าไปสู่พรมแดน ของไทยแลนด์ 4.0 ก็แทบไม่เกิดผลอะไรเลย
มีช่องว่างเกิดขึ้นจริงระหว่างนักการเมืองต่างรุ่น นักการเมืองต่างวัย
แม้จะยังไม่เกิดการปะทะ แต่ก็พอมองเห็น”สัญญาณ”ได้
บรรยากาศตลอด 3 วันแห่งการอภิปรายงบประมาณได้เกิดการประจัน หน้าระหว่าง 2 แนวทางอย่างเด่นชัด
แนวทาง 1 มองเห็นความรุ่งโรจน์ของ “อดีต” ต้องการอนุรักษ์
ขณะเดียวกัน แนวทาง 1 มองเห็นความรุ่งโรจน์ของ “อนาคต”ต้องการให้ปรากฏขึ้นภายในเร็ววัน
“อดีต”เคยเกิดขึ้นมาแล้วและมีแววแห่งความร่วงโรย
“อนาคต”อาจยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศมีแล้ว เกิดขึ้นแล้ว
ฝ่ายหนึ่งต้องการเดินถอยหลัง ฝ่ายหนึ่งต้องการเดินไปข้างหน้า