โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 12 จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู

GameFever TH

อัพเดต 03 ก.ค. 2563 เวลา 09.21 น. • เผยแพร่ 03 ก.ค. 2563 เวลา 16.21 น. • GameFever.co

สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง ซึ่งในบทนี้จะเป็นการกล่าวถึงเนื้อหาตัวเลือกภายในเกมที่ผู้เล่นจะสามารข้ามผ่านไปก็ได้โดยที่จะไม่มีผลกระทบต่อฉากจบของเกมแต่อย่างใด มันจึงเป็นเเค่ส่วนเสริมในการปลดล็อคเเผนที่ลับล้วนๆ…เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากระผมขอนำทุกท่านเข้า Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง “ จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู ” 

( ภาพประกอบ : ในบทนี้เราจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อย้อนมองเรื่องราวจากมุมมองที่เเตกต่าง )

 

< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 

บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่

บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด

บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด

 

คืนถิ่น

         ในระหว่างค่ำคืนอันแสนเงียบสงัด ณ Firelink Shrine ที่หลายชีวิตได้กำลังนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบสุข ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทย์น้อย Griggs ผู้ที่กำลังเฝ้ารออาจารย์ของเขา หรือจะเป็นพ่อมดเพลิง Laurentius ซึ่งหมายมั่นจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง หรือแม่สาวน้อย Fire Keeper นามว่า Anastacia ที่วิญญาณของนางได้ถูกผูกพันเข้ากับ Firelink Shrine… แต่ทว่ามีอยู่หนึ่งคนที่ไม่อาจจะข่มตานอนหลับได้ เขาก็คือ Undead นิรนามพระเอกของเรานั่นเอง โดยสาเหตุก็คือความฝันประหลาดที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้าอีกายักษ์ที่อาศัยอยู่บนหลังคาของโบสถ์ใน Firelink Shrine

( ภาพประกอบ : หากผู้เล่นอยากจะขึ้นไปยังรังของเจ้าอีกายักษ์ ผู้เล่นจำเป็นจะต้องปีนป่ายไปตามเศษซากปรักหักพังใน Firelink Shrine )

Undead นิรนามยังคงค้างคาใจกับความฝันของตนเอง เขาจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปยังรังของเจ้าอีกายักษ์ เพราะคิดว่าถ้าหากความฝันเมื่อครู่นี้เป็นภาพนิมิตของบางสิ่งบางอย่างจริงๆละก็ บนรังของเจ้าอีกาก็น่าจะต้องมีคำตอบอยู่เป็นแน่ แต่ทว่าเมื่อขึ้นไปถึงเจ้าอีกายักษ์ก็บินลงมาโฉบ Undead นิรนามของเราหายขึ้นฟ้าไป

( ภาพประกอบ : Undead นิรนามที่อยู่ในกรงเล็บของเจ้าอีกายักษ์ )

เมื่อบินไปสักพักแสงจากดวงตะวันค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนฟากฟ้า เผยให้เห็นภาพของวิวทิวทัศน์อันแสนคุ้นตา…ใช้แล้วเจ้านกยักษ์ได้พาเขาบินกลับมายัง Northern Undead Asylum ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง เจ้าอีกาได้ปล่อยพระเอกของเราออกจากกรงเล็บอย่างนิ่มนวลและบินไปเกาะอยู่ที่เชิงของหน้าผาใกล้ๆ Undead นิรนามตกใจที่เขาถูกนำตัวกลับมาปล่อยยัง Undead Asylum อีกครั้ง แต่เมื่อพระเอกของเราเล็งเห็นว่าเจ้าอีกายักษ์ไม่ได้บินหนีหายไป เขาจึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน Undead Asylum อีกครั้งเพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจจะเกี่ยวกับความฝัน

( ภาพประกอบ : รังของเจ้าอีกายักษ์ที่อยู่ ณ Northern Undead Asylum  )

โครงสร้างภายในอาคารของ Undead Asylum  ยังคงอยู่ในทิศทางเช่นเดิมเหมือนครั้งที่พระเอกของเราหนีออกมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเหล่าผีดิบ Hollow ที่เมื่อก่อนเคยถูกขุมขังอยู่ในคุก ตอนนี้มันกลับเดินเตร่ๆไปมาทั่วอาคาร ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการตายของเจ้าอสูรแห่ง Undead Asylum จึงทำให้ไม่มีใครคอยควบคุมจำนวนของพวก Hollow  แต่นั่นยังเป็นเเค่เรื่องจิ๊บจ๊อย! เมื่อมีเหล่า Black Knight โผล่มาที่นี่ถึงสองตนด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด  คำถามเกิดขึ้นในหัวของ Undead นิรนาม ว่าอะไรกันนะที่ทำให้อัศวินของทวยเทพ จำต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสนไกลมายังสถานที่อันรกร้างว่างเปล่าเเบบนี้ หรือว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับนิมิตของเขาเมื่อคืน?

 ( ภาพประกอบ : Black Knight ตนแรกจะประจำการอยู่ที่ทางเชื่อมภายในของตัวอาคาร )

ถ้าไม่จำเป็น Undead ไม่ค่อยอยากจะมีปัญหากับเหล่า Black Knight มากเท่าไรนัก เขาจึงเลือกที่จะใช้เส้นทางอื่นเพื่อผ่านเข้าไปข้างในยัง แต่เมื่อเข้ามาถึงโซนห้องขังเดี่ยวเขาก็ได้พบกับอัศวินคนหนึ่งที่กำลังยืนเงยหน้ามองแสงของพระอาทิตย์ซึ่งรอดผ่านรูเล็กบนฝาเพดาน พระเอกของเราจำได้ทันทีว่านี่ก็คือ Oscar ชายผู้เคยช่วยเขาให้หนีออกจากขุมนรกแห่งนี้ไปได้นั่นเอง ด้วยความดีใจพระเอกของเราจึงเรียกขานชื่อของชายคนนี้แต่ Oscar กลับกระโจนเข้าจู่โจมใส่ Undead นิรนามอย่างบ้าคลั่ง เเม้พระเอกของเราจะพยายามตะโกนเรียกให้สติของ Oscar กลับคืนมาแต่สายไปเสียแล้ว สถานการณ์ได้บีบให้ Undead นิรนามจำต้องใช้ดาบที่อยู่ในมือฟันเข้าไปที่ Oscar จนหัวของเขาหลุดออกและกลิ่งไปตามพื้นของห้องขัง

( ภาพประกอบ : เเต่เดิมเเล้ว Oscar เคยถูกวางเเผนให้เป็นคู่เเข่งของผู้เล่นตลอดการเดินทาง เเต่สุดท้ายก็ถูกตัดบทออกไปเพราะมันอาจะส่งผลต่อตัวเลือกในฉากจบของผู้เล่นมากเกินไป  )

Oscar คือชายผู้ส่งมอบประกายแห่งความหวังให้แก่ Undead นิรนามและแม้แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังคงจับจ้องไปที่แสงแห่งความหวังไม่เสื่อมคลาย  นั่นคือมุมมองของ Undead นิรนามที่มีต่อ Oscar… แต่หากเราลองมาสมมุติกันดูเล่นๆ ถ้าหาก Oscar ไม่ได้กลายเป็น Hollow ทันทีละ?, ถ้าหากเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาและต้องพบว่าตัวเองติดอยู่ที่นั่นตลอดไปละ?, ถ้าหากเขาใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดภาวนาขอให้มีใครสักคนมาช่วยเขาไปจากที่นี่…บางทีจิตใต้สำนึกอาจจะสั่งให้ร่างที่กลายเป็น Hollow  ไปแล้วของเขากลับมายังห้องขังนี้ เพื่อรอพบหน้าใครสักคนก็เป็นได้

( ภาพประกอบ : ในเนื้อหาที่ถูกตัดออกไป Oscar จะเป็นคนต่อสู้กับผู้เล่นในตอนจบของเกม  )

   

ปริศนาที่ไขไม่ออก

Undead นิรนามเดินทางต่อไปจนถึงส่วนของคุกใต้ดินซึ่งเป็นที่ๆเขาเคยถูกขังเอาไว้ แต่ตอนนี้ดันมีเจ้า Black Knight ตนหนึ่งยืนประจำการอยู่ ในตอนแรกพระเอกของเราคิดว่าจะหันหลังกลับไปซะเเล้วเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อสู้ Black Knight แต่ฉับพลันก็เหมือนมีพลังปริศนาบางอย่างทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เพราะเหตุใดกันทำไม Black Knight จึงต้องมาเฝ้าห้องขังเปล่าๆซึ่งไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น หรือว่าพวกมันกำลังปกปิดบางสิ่งบางอย่างอยู่กันแน่

( ภาพประกอบ : Black Knight ตนที่สองซึ่งเฝ้าอยู่ที่ห้องขังใต้ดิน )

ถ้าย้อนนึกดูดีๆตลอดเวลาที่ผ่านมา Undead นิรนามเคยพบเจอกับเหล่าอัศวินดำอยู่หลายครั้งหลายคร่า และมักจะใช้วิธีหลบเลี่ยงเพราะคิดว่าตนเองนั้นสู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากเขาอยากจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนายละก็ เรื่องเเค่นี้เขาก็ต้องจัดการมันให้ได้!  Undead นิรนามได้ทำการเชื่อมต่อวิญญาณเข้ากับ Bonfire ที่อยู่ใน Undead Asylum จากนั้นก็หอบความมั่นใจเข้าไปลุยกับเจ้า Black Knight… แต่แน่นอนว่ากิตติศักดิ์ของ Black Knight นั้นไม่ใช่แค่ของประดับตามฝ้าผนัง พวกมันได้ร่ายรำกระบวนท่าปราบอสูร( อสูรแห่ง Izalith ) ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่ามากๆ ด้วยการจู่โจมเพื่อให้เหยื่อเสียการทรงตัวและล้มลง จากนั้นจึงค่อยเข้าไปเผด็จศึกที่จุดตายในครั้งเดียว ดังนั้นจึงทำให้การยืนแลกหมัดต่อหมัดกับมันนั้นรังแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ Undead นินามจึงลองใช้เทคนิคที่เรียกว่าการ Parry หรือการเบี่ยงเบนวิถีของอาวุธ เข้ามาใช้จัดการมัน!

( ภาพประกอบ : ภายในเกม Dark Souls ภาคแรกระบบ Parry เป็นการโต้กลับการโจมตีที่ไร้เทียมทานที่สุด ซึ่งผมรับรองจากประสบการณ์เลยว่าหากใครก็ตามที่โดน Parry เข้าไปต้องมีรู้สึกหน้าชากันบ้างไม่มากก็น้อย )

พระเอกของเรายอมถูกเจ้าอัศวินดำฆ่าไปหลายครั้งเพื่อแลกกับการจับจังหวะในกระบวนท่าของมัน และอาศัยช่องโหว่จนสามารถจัดการมันได้ในที่สุด กลายเป็นว่ากระท่าที่ที่รุนเเรงของ Black Knight  ได้กลับกลายเป็นเข็มพิษที่แทงเข้าอกของตัวเอง          เมื่อเจ้า Black Knight สิ้นฤทธิ์ลง ทางเดินของห้องขังใต้ดินก็ถูกเปิดออก พระเอกของเราคิดในใจว่าของที่มันปกป้องคงจะล่ำค่ามากแน่ๆ…แต่ที่ไหนได้มันเป็นแค่ตุ๊กตาเก่าๆตัวหนึ่ง (Peculiar Doll) เเต่มันก็ช่างดูคล้ายกับตุ๊กตาที่เขาเห็นในความฝันเมื่อคืนเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังมีพลังปริศนาที่ไหลผ่านออกมาจากเจ้าสิ่งนี้ซึ่งมันชวนให้เขานึกถึงหญิงสวมผ้าคลุมที่เคยเจอในฝัน…แต่ไม่ว่ามันจะอย่างไรก็ตามเรื่องราวพวกนี้ก็ยังคงคลุมเครือและยากเกินกว่าที่เขาจะปะติดปะต่อให้เข้าใจได้ในตอนนี้

( ภาพประกอบ : การกลับมายังห้องขังเพื่อเก็บ Peculiar Doll เป็นเหมือนการแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง  )

         หลังจากที่สำรวจจนทั่ว Northern Undead Asylum พระเอกของเราก็ตัดสินใจเดินทางกลับออกไปหาเจ้าอีกายักษ์โดยใช้เส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านห้องโถงใหญ่ ซึ่งเป็นที่ๆเขาเคยปราบเจ้า Asylum Demon เเต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตากลั้นแกล้ง ทันทีที่เท้าของเขาก้าวลงไปพื้นอิฐเก่าๆ พื้นก็เกิดการทรุดตัวกะทันหันจนทำให้ Undead นิรนามตกลงไปข้างล่างเเละได้พบกับ Stray Demon ซึ่งเป็นอสูรอีกตนหนึ่งที่ถูกส่งมายัง Undead Asylum พร้อมๆกับ Asylum Demon แต่ด้วยนิสัยที่บ้าคลั่งของมันจึงทำให้ต้องถูกผนึกไว้ใต้ดินตลอดมา

( ภาพประกอบ : ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้เจ้า Stray Demon บ้าคลั่งกว่าปกติเป็นเพราะว่ามันยังคงใช้พลังของเพลิง Chaos Flame จึงทำให้มันมีอารมณ์ที่แปรปรวน )

  การกลับที่ได้กลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูเดิมๆในสถานที่เดิมๆได้ทำให้ Undead นิรนามหวนนึกถึงความหลัง เขาลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางขี้เกียจพร้อมกับใช้มือปัดฝุ่นออกจากกางเกงต่อหน้าเจ้า Stray Demon ซึ่งกำลังร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พระเอกของเราค่อยๆชักดาบเล่มโปรดของเขาออกมาจากนั้นก็เข้าต่อสู้โรมรันกับเจ้า Stray Demon อย่างไม่ลังเล…          นับเป็นระยะเวลามากพอสมควรแล้วตั้งแต่ที่ Undead นิรนามถูกเจ้าอีกาดำบินมาปล่อยเอาไว้ที่ Northern Undead Asylum พระเอกของเราเดินออกมาจากประตูหน้าของอาคาร Undead Asylum และหยิบตุ๊กตา Peculiar Doll ซึ่งคาดอยู่เอวออกมาให้เจ้าอีกยักษ์ดู…จากนั้นมันก็ได้ส่งเสียงร้องหลายครั้งราวกับดีใจเเละสะบัดปีกบินมาโฉบพระเอกของเราขึ้นฟ้าหายไป  

เดรัจฉานจากห้วงนรก

         ณ Firelink Shrine ในดินแดน Lordran พระเอกของเราได้ถูกเจ้านกยักษ์บินกลับมาส่งอีกครั้ง…เเละสิ่งเเรกที่เขาทำก็คือรีบกลับลงไปดูว่าแม่นักบวชสาว Rhea เเต่เขากลับหานางไม่พบ ผู้คนแถวนั้นได้บอกว่าเธอเดินทางไปยังโบสถ์ใน Undead Burg โดยอาศัยลิฟต์ที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเพิ่งถูกซ่อมเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ 

( ภาพประกอบ : ลิฟต์ที่เป็นทางลัดซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง Firelink Shrine และโบสถ์ใน Undead Burg )

เเต่ทว่าในระหว่างก่อนที่เขากำลังจะขึ้นลิฟท์กลับมีเจ้า Petrus ซึ่งเป็นหนึ่งในพระนักรบของ Rhea ที่หายตัวไปใน Tomb of Giants มาขวางเอาไว้ เจ้า Petrus ที่กำลังมีท่าทางคล้ายกับคนเสียสติ ได้กล่าวว่า Rhea เป็นตัวกาลกิณีและถูกหลอกให้มาตายในภาระกิจตามหา Rite of Kindling ที่ไม่มีวันสำเร็จ ซึ่งทุกอย่างมันก็ควรจะเป็นไปได้สวยถ้าไม่มี Undead นิรนามโผล่มา! เมื่อพูดจบเจ้าพระอาบัติคนนี้ก็พุ่งเข้าทำร้ายพระเอกของเรา…แต่แค่พริบตาเดียวการโจมตีของมันก็ถูกปัดป้องออก และถูกดาบสั้นเเทงสวนกลับเข้าไปจนทะลุท้องจนสิ้นใจคาที่ตรงนั้น Undead นิรนามชักดาบออกมาและเช็ดคราบเลือดเข้ากับเสื้อผ้าของเจ้านักบวช จากนั้นก็เดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

( ภาพประกอบ : Ivory Talisman  คือไอเทมประจำตัวของ Rheaโดยหลังจากที่เราช่วยเธอออกมาจาก Tomb of Giants ได้สำเร็จ เจ้า Petrus ก็จะตามไปสังหารเธอและเก็บเอา Ivory Talisman ไว้กับตัว )

เมื่อได้พบกับ Rhea อีกครั้ง นางก็หมายที่จะตอบแทนพระเอกของเราด้วยการสอนศาสตร์เเห่งเหล่าทวยเทพให้กับเขา ( เวทมนตร์สาย Miracle ) ไม่ว่าจะเป็นคาถา Wrath of the Gods  ที่เป็นการร่ายมหากาพย์ของเทพเจ้าแห่ง Anor Londo ซึ่งจะสร้างคลื่นกระแทกออกมาจากตัว, หรือจะเป็น Great Heal Excerpt เวทมนตร์ที่ใช้รักษาบาดแผลซึ่งมีผลแบบเดียวกับการใช้ยา Estus Flask          เมื่อได้ยินดังนั้น Undead นิรนามก็ถึงกับยิ้มแป้น เพราะในตลอดเวลาที่นางสอนเวทมนตร์จำเป็นจะะต้องจับมือถือแขนอย่างแนบชิดอยู่หลายครั้ง…ทำให้หัวใจของเขาเริ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง  โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูก Channeler ลูกน้องของเจ้ามังกร Seath แอบดูอยู่ห่างๆ

( ภาพประกอบ : Wrath of the Gods เป็นอีกหนึ่งเวทมนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่ในการเล่น PVP เพราะเราสามารถหลอกให้คนอื่นเดินเข้าไปใกล้หน้าผาและใช้ Wrath of the Gods ผลักศัตรูให้ตกเหวตายได้ และยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการจัดการกับพวก Hacker ได้อีกด้วย! )

ภายในค่ำวันนั้น ณ Firelink Shrine เหล่า Undead ที่ยังมีสติพากันมานั่งรวมตัวรอบ Bonfire เพื่อคุยเรื่องสัพเพเหระกันตามปกติ จนกระทั่งมีคนเปิดประเด็นเกี่ยวกับ Undead นิรนามว่าทั้งที่เขาเป็นคนซึ่งเข้าใกล้คำว่า “ผู้ถูกเลือก” มากที่สุด แต่ทำไมกลับยังไม่เริ่มเดินทางไปลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบที่สองสักที  เจ้า Lautrec ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยให้ Undead นิรนามสามารถลั่นระฆัง Bell of Awakening ใบแรกได้สำเร็จเป็นคนตั้งคำถามนี้ เเละสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะนักบวชสาวเเห่ง Way of White แน่ๆเพราะตั้งแต่เธอมาที่ Firelink Shrine เจ้าว่าที่ Undead ผู้เลือกก็ละทิ้งอุดมการณ์ไปเลย…Undead นิรนามที่ได้ยินเข้าก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนพูดแดกดัน เขาจึงได้เอ่ยปากโต้กลับไปว่าถ้าหากรีบกันขนาดนั้นก็ไปกันเอง!  เมื่อทั้งหมดได้ฟังดังนั้นก็พากันสงบปากสงบคำ เพราะลึกๆต่างก็หวาดกลัวเกินกว่าเดินทางออกไปที่อื่น จะมีก็แต่คนต้นเรื่องอย่างเจ้า Lautrec นี่แหละที่อาสาจะไปด้วย

( ภาพประกอบ : Ring of Favor and Protection แหวนที่มีพลังของเทพเจ้าแห่งความงาม Fina ซึ่งเจ้า Lautrec ที่มีความหลงใหลในเรื่อนร่างของหญิงงามจะพกมันติดตัวตลอดเวลา )

วันรุ่งขึ้นเจ้า Lautrec ได้ติดตามพระของเราลงไปยัง “The Depth” ท่อระบายน้ำใต้ดินแห่งเมือง Undead Burg แต่ทว่าในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินทางผ่านห้องครัวนรก เหล่าฝูงผีดิบที่โกรธเกรี้ยวก็กระโจนเข้าจู่โจมทั้งคู่ อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้พระเอกของเราดันลื่นไขมันมนุษย์และล่วงตกลงไปในหลุมขยะ  ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยคราบเหนียวเหนอะหนะจากซากชิ้นส่วนของมนุษย์ที่กำลังเน่า และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือกลิ่นเนื้อสดๆของ Undead นิรนามได้ลอยไปตามน้ำจนเข้าจมูกของเหล่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำแห่งนี้เข้าซะแล้ว

( ภาพประกอบ : หนูยักษ์ที่อาศัยกินซากศพมนุษย์จนร่างกายเติบใหญ่ผิดปกติ )

( ภาพประกอบ : Slime สิ่งมีชีวิตแบคทีเรียที่มีความเหนียวหนึบเป็นอย่างมาก และดำรงชีพด้วยการย่อยอินทรียวัตถุเป็นอาหาร )

แต่ไม่ว่าจะเป็นหนูท่อยักษ์หรือเมือกประหลาดกินคน…ก็หาได้มีความอันตรายไม่เมื่อเทียบกับสัตว์พิสดารอย่างเจ้าตัว Basilisk จิ้งเหลนยักษ์สีดำที่มีความสูงพอๆกับสุนัขตัวใหญ่ หากมันรู้สึกว่ามีอันตรายสัญชาตญาณจะบอกให้มันสูบลมเข้าไปในถุงลมทั้งสองข้าง และพ่นสารพิษร้ายแรง (Curse) ออกมาเพื่อป้องกันตัว ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าดวงตาอันใหญ่บนหัวของมันเป็นดวงตาที่เเท้จริง เเต่ความจริงเเล้วดวงตาของมันก็มีขนาดปกติเท่ากับสัตว์ทั่วๆไป ( ดูภาพประกอบด้านล่าง )

( ภาพประกอบ : ดวงตาที่แท้จริงของเจ้า Basilisk มีขนาดที่เล็กเเละอยู่ใต้ดวงตาปลอม )

Undead นิรนามที่ตกลงไปข้างล่างได้พยายามร้องเรียกเจ้า Lautrec ให้มาช่วยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงคิดเอาเองว่ามันคงหนีกลับ Firelink Shrine ไปแล้ว ทำให้ต่อจากนี้พระเอกของเราจะต้องตะลุยดงสัตว์ร้ายด้วยตัวคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง  Undead นิรนามต้องทนเห็นภาพสิ่งปฏิกูลลอยไปมาอยู่เหนือน้ำจนแถบจะอาเจียน ทุกย่างก้าวที่เขาเดินลุยน้ำก็มักจะมีเศษชิ้นเนื้อและเมือกแปลกๆติดรองเท้ามาด้วยเสมอ และไหนจะซากศพของคนที่ตายจากพิษของพวก Basilisk อีก ที่มีท่าทางก่อนตายดูคล้ายกับคนที่ขาดอากาศหายใจและกำลังดิ้นทุรนทุรายจนกลายเป็นก้อนหิน… เรียกได้ว่า The Depth คือศูนย์ร่วมงานแสดงประติมากรรมสุดสยองก็ไม่ปาน

( ภาพประกอบ : ถ้าผู้เล่นเชื่อมต่ออินเตอร์ในระหว่างเล่น ตัวเกมจะจำลองศพของผู้เล่นคนอื่นที่ตายด้วยสถานะ Curse ปรากฏออกมาตามที่ต่างๆในเกมของเรา )

   

จอมขย้ำกระหายเลือด

Undead นิรนามเดินลุยน้ำโสโครกจนมาถึงลานน้ำกว้างขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ซึ่งที่ปลายสุดเป็นน้ำตกที่ไหลบ่าลงไปด้านล่าง เเละดูเหมือนว่าน้ำเน่าทั้งหมดใน The Depth จะไหลมาระบายออกยังน้ำตกแห่งนี้…เเละเเน่นอนว่ากลิ่นเนื้อสดเป็นๆของพระเอกของเราก็ได้ปลุกบางสิ่งอย่างให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล  ขนาดของมันใหญ่ยิ่งกว่า Stray Demon หรือ Titanite Demon หลายเท่าและถ้าวัดตั้งแต่หัวจรดหางมันยาวยิ่งกว่ามังกรน้ำ Hydra เสียอีก นามของเจ้าสิ่งนี้ก็คือโคตรไอ้เคี่ยม Gaping Dragon!

( ภาพประกอบ : สภาพร่างกายของเจ้า Gaping Dragon )

ลำตัวช่วงบนที่ไม่สมประกอบของมันสูงเกือบเท่าเพดานจนสามารถบังแสงอาทิตย์ และตั้งแต่บริเวณลำคอลงมาตลอดจนท้องน้อยถูกแหวกออก เผยให้เห็นซีโครงจำนวนมากที่ถูกเลาจนแหลมเพื่อใช้บด, เคี้ยว, ขย้ำเหยื่อ เกร็ดที่กลายสภาพจนดูคล้ายงู บันท้ายที่พองโตเพราะไม่อาจจะย่อยสิ่งที่กินเข้าไปได้ทัน ขาและข้อเท้าที่ผิดรูปได้ทำให้การเดินของมันบิดเบี้ยวไปมา เเละเเม้จะมีปีกขนาดใหญ่ถึงสี่ปีกมันไม่อาจจะพยุงน้ำหนักตัวอันมหาศาลให้บินขึ้นได้ อย่างเก่งก็ทำได้แค่พัดกลิ่นเหม็นๆให้ฟุ้งลอยไปทั่วห้อง

( ภาพประกอบ : ขาของมันทรงพลังมากจนสามารถขยี้ชุดเกราะได้อย่างสบายๆ )

เเม้สภาพร่างกายของเจ้า Gaping Dragon จะดูน่าเกลียดเหมือนหลุดมาจากอีกมิติ เเต่มันเป็นถึงลูกหลานสายตรงของเหล่ามังกรนิรันดรที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต โดยสาเหตุทที่ทำให้มันเป็นเเบบนี้ก็เริ่มมาจากหลังสิ้นสุดมหาสงครามมังกร Seath ได้ค้นพบไข่มังกรนิรันดรสองใบที่ยังเหลือรอด มันได้มอบไข่ใบหนึ่งให้กับ Gwyn ซึ่งถูกนำไปทะนุถนอมเป็นอย่างดีและถูกตั้งชื่อว่า Mirdir ส่วนไข่ใบที่โชคร้ายได้ตกไปอยู่ในมือของจอมวิปลาส Seath  และต้องเผชิญกับทดลองตั้งแต่อยู่ในไข่จนทำให้มีรูปร่างเป็นอย่างที่เห็น ผลกระทบจากความผิดพลาดได้ทำให้ร่างกายท่อนบนของมันแหวกออก ทำให้อวัยวะทั้งหลายหลุดล่วงออกจากร่างกายแต่ถึงกระนั่นมันก็ไม่อาจจะตายได้ สิ่งเดียวที่มันพอจะทำได้ก็คือ กิน กิน และ กิน! เพื่อเติมเต็มให้กับร่างกายที่ไม่มีวันสมบูรณ์ของมัน

( ภาพประกอบ : ภายในเกมถ้าหากเราสามารถตัดหางของ Gaping Dragon ได้สำเร็จ ผู้เล่นจะได้ Dragon King Greataxe มาใช้งาน )

หลายคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ก็คงพอจะเดาได้ใช่ไหมครับว่าพระเอกของเราจะตัดสินใจทำอะไร…ใช่แล้ว! เขาหันหลังหนีกลับไปทันที ( เป็นผมๆก็หนี ) เพื่อหาเส้นทางอื่นที่จะนำไปสู่ Bell of Awakening… แต่สิ่งเดียวที่เขาพบกลับเป็นประตูเหล็กบานเล็กๆ ที่สามารถนำลงไปสู่พื้นที่ด้านล่างได้ทว่าติดอยู่แค่อย่างเดียวคือเขาดันไม่มีกุญแจ พระเอกของเราจึงได้ไปถามพ่อค้าเร่คนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ นามว่า Domhnall ที่เดินทางมาจากนคร Zena อันห่างไกล เจ้าพ่อค้าเร่คนนี้มีนิสัยที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือมันชอบตระเวนไปตามหลุมฝั่งศพและขโมยเอาชุดของคนตายมาขายต่อ และมันยังมีวิชาแห่งความลับในการเปลี่ยนอาวุธเก่าๆที่ไร้ค่าให้เป็นกลายเป็นอาวุธคริสตัลที่ทรงพลังกว่าเดิมโดยแลกมากับการที่สึกกร่อนง่ายกว่าปกติ และแน่นอนว่าจะต้องขายในราคาที่แพงกว่าเดิมหลายเท่าด้วย

( ภาพประกอบ : เจ้า Domhnall ตระเวนขุดหลุมฝั่งศพไปทั่วไม่ว่าจะเป็น Catacomb หรือเมืองร้าง New Londo พี่แกก็ไปมาหมดแล้ว )

         Undead นิรนามได้ลองถามเจ้าพ่อค้าเร่ดูว่ามันรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่เเห่งนี้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ยอมบอกจนกว่าพระเอกของเราจะยอมซื้อของไปจากมัน 1 ชิ้นต่อหนึ่ง 1 คำถาม(หน้าเลือด) เมื่อเป็นเช่นนั้นสุดท้ายพระเอกของเราก็ต้องยอมจ่าย Soul ให้กับเจ้าพ่อค้าเร่จนได้ เจ้า Domhnall ได้บอกข่าวลือลึกลับว่ามีกลุ่มคนแปลกๆที่บูชามังกรนิรันดรเเอบหลบซ่อนอยู่เเถวนี้…  คำตอบที่ได้ทำให้ Undead นิรนามยื่นนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไอ้สิ่งที่ออกจากปากของมันดูจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย และเริ่มคิดว่าตนเองกำลังเสียรู้เจ้าพ่อเร่คนนี้

( ภาพประกอบ : Crystal Straight และ Sword Crystal Shield ที่ขายจาก Domhnall เป็นหนึ่งในของดีสำหรับผู้เล่นต้นเกมที่มี Soul เหลือกินเหลือใช้ )

พระเอกของเราจึงยอมจ่าย Soul อีกครั้งแต่คร่าวนี้เขาถามเจาะจงเกี่ยวกับ Bell of Awakening… เจ้าพ่อค้าเร่เงียบไปแปบหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า ตัวมันเองก็ไม่รู้เพราะมันก็ยังไม่เคยลงไปข้างล่างเหมือนกัน          เมื่อสิ้นประโยคดังกล่าวพระเอกของเราก็ลุกขึ้นและทำท่าเหมือนจะชักดาบออกมา จนทำให้เจ้า Domhnall ลุกลี้ลุกลนพร้อมกับบอกว่ามันก็ไม่รู้เรื่องของ Bell of Awakening จริงๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้มีนักรบหลงทางคนหนึ่งเคยกล่าวถึงระฆังที่ว่านั่นอยู่เหมือนกัน… “ นักรบหลงทาง? ” Undead นิรนามสะกิดใจว่านั้นอาจจะเป็นเจ้า Lautrec ก็ได้ เขาจึงเก็บดาบและออกเดินสำรวจมากขึ้น

( ภาพประกอบ : Bonfire ประจำ The Depth ซึ่งเป็นที่ๆผู้เล่นหลายคนนัดเจอเพื่อน แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นจุดที่ดึงดูดให้มีการ PVP แกล้งกันมากที่สุดจุดหนึ่งในเกม  )

Undead นิรนามเดินทางย้อนกลับขึ้นไปด้านบนจนได้ไปพบห้องเล็กๆที่มี Bonfire อยู่ข้างใน พร้อมกับเสียงพูดคุยที่ฟังดูคุ้นหูเล็ดรอดออกมา พระเอกของเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูและได้พบกับเจ้า Lautrec อยู่ที่นั่นจริงๆ ซึ่งมันกำลังพูดคุยอยู่กับนักรบปริศนาอีกคน Undead ลองพิจารณามองดูทั้งชุด, ทั้งดาบ, ทั้งหมวกเหล็ก…คนที่แต่งตัวประหลาดแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียว! นั่นก็คือเอกบุรุษSolaire นั่นเอง          เมื่อทั้งสามสหายกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้! พวกเขาเริ่มปรึกษากันเกี่ยวกับเจ้าGaping Dragon และสรุปได้ความว่า Solaire เคยเห็นแสงสะท้อนวิบวับอยู่ข้างในท้องของ Gaping Dragon ซึ่งนั่นอาจจะเป็นกุญแจเปิดประตูที่เรากำลังตามหาก็เป็นได้

( ภาพประกอบ : ความจริงแล้วภายในเกม Dark Souls เราสามารถที่จะฆ่า Gaping Dragon ได้ด้วยการสู้กับมันก่อนหนึ่งครั้ง และจากนั้นก็หนีออกมายืนที่ระเบียงในรูป เพื่อโจมตีจากระยะไกลได้ฟรีๆ )

ในวันถัดมาทั้งสามจึงได้ไปยืนดูที่ระเบียงและมองเห็นว่ามีกุญแจอยู่ในท้องของมันจริงๆ เเต่ปัญหาต่อไปก็คือ “แล้วเราจะเข้าไปเอาได้ยังไงกันละ?” สามสหายพยายามครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าเราจะต้องตัดหัวอันเล็กกระจิดริดของมันออกเสีย โดยจะต้องมีคนหนึ่งยอมเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้มันก้มลำตัวส่วนบนลงมา เพื่อเปิดโอกาสให้อีกสองคนวิ่งเข้าไปตัวหัวเล็กๆของมัน          “ก็เเค่ตัดหัวของมันซะ” คำพูดที่ฟังดูง่ายๆแต่พอตอนปฏิบัติจริงเจ้า Gaping Dragon กลับไม่ยอมก้มหัวลงมาหากเหยื่อไม่ไปอยู่ข้างใต้ปากของมันตรงๆ และต่อให้เป็นจังหวะที่มันก้มหัวลงมาพุ่งชนความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันก็มากเกินกว่าที่สองเท้าของคนปกติจะวิ่งตามได้ทัน แถมนี่ยังไม่นับรวมการปล่อยน้ำย่อยกรดเเรงสูงซึ่งถูกสะบัดออกมาจากร่างของมันเป็นระยะๆ จนทำให้การเข้าไปใกล้หัวของมันเป็นเรื่องที่เเทบจะเป็นไปไม่ได้

( ภาพประกอบ : มือคู่ที่สามของเจ้า Gaping Dragon สามารถคว้าคนที่อยู่ข้างหน้าใส่เข้าปากเพื่อกินได้ง่ายๆ  )

แต่อุปสรรคแค่นี้มีหรือจะหยุดชายที่ชื่อว่า Solaire ได้ เขาวิ่งกู้ร้องเสียงดังเข้าไปอย่างกล้าหาญ เเละลงมือสับ! สับ! สับ! จนหางของเจ้ามังกรจอมตะกละขาดซึ่งทำให้มันโมโหเป็นอย่างมาก เเต่เเทนที่ Solaire จะหันหลังวิ่งหนี อัศวินผู้ห้าวหาญคนนี้กลับโจมตีต่อไป ทำให้เจ้า Lautrec รู้ได้ถึงความต้องการของ Solaire ได้ทันที มันจึงได้ตะโกนบอกให้ Undead นิรนามซึ่งอยู่อีกฟากของห้องรีบวิ่งเข้าไปตัดหัวของเจ้า Gaping Dragon ซะ          พระเอกของเราพยามปีนขึ้นไปบนหลังของมันเพื่อหลีกเลี่ยงกรดน้ำย่อย และวิ่งไตไปตามกระดูกสันหลังของมันเพื่อเข้าใกล้ส่วนหัวให้มากที่สุด… “ช้าเกินไป!” เจ้า Gaping Dragon ได้กัดกินร่างของ Solaire ไปจนหมดแล้วและกำลังจะเชิดหัวขึ้น แต่ฉับพลัน Undead นินามก็ได้ยินเสียงของเจ้า Lautrec ตะโกนดังขึ้นมาว่า “ จงไปลั่นระฆังให้สำเร็จ! ”

( ภาพประกอบ : ส่วนหัวที่เล็กกระจิดริดของ Gaping Dragon )

สิ้นสุดเสียงพูด Lautrec ก็วิ่งไปที่ปากของเจ้ามังกรจอมตะกละและใช้อาวุธในมือระดมฟันเข้าใส่เพื่อไม่ให้มันเชิดหัวกลับขึ้นไป…เเละจากนั้นไม่นานก็มีเสียงของชุดเกราะที่กำลังถูกบดดังขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้ Undead นิรนามรีบวิ่งไปบนหลังของเจ้า Gaping Dragon          เมื่อผ่านไปได้ไม่กี่วินาที หลังที่เคยตรงเป็นแนวราบตอนนี้ค่อยๆชันขึ้นๆ ส่งผลให้พระเอกของเราต้องออกแรงในการเดินมากขึ้นไปอีก จนสุดท้าย Undead นิรนามได้รวบรวมเเรงทั้งหมดไว้ที่เท้าเพื่อยันตัวเองขึ้นพร้อมกับแรงส่งจากการเชิดหัวของเจ้ามังกร ร่างของเขาลอยขึ้นไปบนอากาศเเละพยายามใช้มือทั้งสองข้างกุมดาบเอาไว้แน่น จากนั้นในระหว่างที่เขาล่วงตกลงมา Undead นิรนามก็ใช้ดาบฟันเข้าไปที่กลางหัวของเจ้า Gaping Dragon  แรงดึงดูดเเละน้ำหนักตัวของ Undead นิรนามทำให้เกิดรอยฟันของดาบที่ถูกลากยาวลงมาเรื่อยๆ จนถึงกระดูกสันหลังท่อนบน ร่างที่เคยวิปริตของเจ้ามังกรจอมตะกละถูกผ่าออกเป็นแผลยาวจนมาถึงกลางลำตัวจนสิ้นชีพ และเป็นอันปิดตำนานของมังกรจอมตะกละ Gaping Dragon จ้าวแห่งคุ้งน้ำ The Depth

( ภาพประกอบ : ลือกันว่าสาเหตุที่กุญแจ Blighttown Key เข้าไปอยู่ในปากของเจ้า Gaping Dragon ก็เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่จะเปิดประตูบานนั้น จะแข็งแกร่งมากพอสำหรับความน่ากลัวใน Blighttown ได้ )

         เเม้เจ้ามังกรจะตายลงเเล้วแต่งานของ Undead นิรนามยังไม่จบ ตัวเขายังต้องเข้าไปแหวกวายในปากเน่าๆของมันเพื่อค้นหากุญแจอันเหล็กๆเพื่อใช้เปิดประตูสู่ Blighttown โดยในระหว่างที่ค้นหาเขาก็มักจะได้พบกับเศษชิ้นส่วนของทั้ง Solaire และเจ้า Lautrec ที่ถูกฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดี หัวไปทาง, ขาไปทาง, แขนไปอีกทาง…ช่างเป็นภาพที่น่าอนาถใจยิ่งนัก           เมื่อได้กุญเเจ Blighttown Key มา พระเอกของเราเดินกลับไปยังประตูซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่ Blighttown และลงมือไขล็อคกุญแจออก ลมเย็นๆถูกพัดขึ้นมาจากหลุมสีดำที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด กลิ่นแห่งความเหม็นล่องลอยตลบอบอวนไปทั่วหลุมนั่น ซึ่งมันชวนให้ Undead นิรนามเริ่มฉุกคิดขึ้นมาว่าเหตุใดกันนะทำไมคนในสมัยก่อนจึงต้องสร้างประตูขึ้นมากั้นระหว่าง Blighttown และ The Depth ? หรือพวกเขาหวาดกลัวว่าจะมีบางสิ่งคืบคลานขึ้นมาจากหลุมนั่น บางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย…

( ภาพประกอบ : เบื้องล่างอันน่ากลัวของ Blighttown )

   

คุยกันหลังเรื่องเล่า

         ก็จบกันไปแล้วนะกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสอง “ จิตวิญญาณที่มุ่งมั่น และจอมเขมือบแห่งแดนมฤตยู ” ความจริงตอนที่เขียนบทนี้ผมก็ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะตัดแบ่งออกเป็นสองบทดีหรือไม่ แต่พอมาคิดดูดีๆสองตอนนี้มันสามารถผูกเรื่องโยงเข้าหากันได้ ผมจึงเขียนรวมเป็นตอนเดียวไปเลย แต่ทว่าพอเขียนไปได้สักพักกลับนึกขึ้นได้ว่ามันมีเนื้อเรื่องของ Solaire และเจ้า Lautrec อยู่ด้วยจนสุดท้ายก็ต้องแก้บทอยู่นานพอสมควรเพื่อเอาตัวละครใส่เข้าไปในจุดที่ดูสมเหตุสมผลมากที่สุด          เอาเป็นว่าผมต้องขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกๆคนที่ยังติดตามอ่านกันเรื่อยมา แต่สำหรับตอนนี้คงถึงเวลาแล้ว ตัวผมต้องขอลาไปก่อนขอบคุณครับ  

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0