เรารู้กันอยู่แล้วว่าช็อคโกแลตเป็นของอร่อย แต่รู้รึเปล่าว่านอกจากช็อคโกแลตจะเป็นสิ่งที่มีรสชาติอร่อยแล้วมันยังมีประโยชน์ต่อสมอง, ร่างกาย และจิตใจของเราอย่างมากอีกด้วย! โดยเฉพาะดาร์คช็อคโกแลตที่มีส่วนผสมของช็อคโกแลตตั้งแต่ 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เพราะช็อคโกแลตที่เรารับประทานกันนั้นผลิตมาจากผลของต้นโกโก้ ที่ในเมล็ดโกโก้จะประกอบไปด้วยสารสำคัญอย่าง Polyphenols, Flavonoids, Epicatechin, Catechin, Procyanidin รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายในปริมาณสูงกว่าผักและผลไม้ชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันดีอีกด้วย
ภาพจาก : https://www.usatoday.com/story/money/nation-now/2018/01/02/m-ms-maker-fears-chocolate-shortage-2050-report-says/996962001/
กว่าจะมาเป็นช็อคโกแลต
กระบวนการผลิตช็อคโกแลตนั้นเริ่มต้นจากการเก็บเกี่ยวผลของต้นโกโก้ (Theobroma cacao) มาแกะเมล็ด และเมื่อนำเอาเมล็ดโกโก้ออกมาจากฝักของมันแล้วจะต้องผ่านกระบวนการหมักด้วยน้ำตาลและยีสต์นานกว่า 6 วัน โดยในช่วงแรกนั้น เมล็ดโกโก้ดิบจะมีสีขาวชมพู เมื่อเข้าวันที่ 4 เมล็ดโกโก้จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงและกลายเป็นสีน้ำตาลในที่สุด จากนั้นจะนำมาเข้าสู่กระบวนการอบแห้งก่อนนำไปคั่ว, กระเทาะเปลือกออก และนำไปเข้าเครื่องบด และในกระบวนการบดเมล็ดโกโก้นี่เองที่จะทำการเติมน้ำตาลลงไปและแยกประเภทของโกโก้ออกเป็นผงโกโก้และเนยโกโก้ที่นำไปผลิตเป็นไวท์ช็อคโกแลต* แต่โดยส่วนมากแล้วช็อคโกแลตที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำจะผลิตมาจากผงโกโก้ที่นำไปเพิ่มรสชาติและขึ้นรูปใหม่
ภาพจาก : http://sweetmatterphysicist.com/tree-to-bar-basics/
* ไวท์ช็อคโกแลต - ความจริงแล้วเราอาจไม่นับไวท์ช็อคโกแลตว่าเป็นช็อคโกแลตก็ได้ เพราะมันไม่มีส่วนผสมของผงโกโก้เลยแม้แต่น้อย แต่ไวท์ช็อคโกแลตนั้นผลิตมาจากเนยโกโก้, นม, น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว (เลซิติน)
ประโยชน์ของดาร์คช็อคโกแลต
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคต่างๆ
ในช็อคโกแลตนั้นมีสาร Flavonoids, สารต้านอนุมูลอิสระ, สารช่วยลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และสารที่มีส่วนในการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอของร่างกาย จากการศึกษาวิจัยในปี 2010 ของสถาบันวิจัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงระบุว่า สารอาหารภายในโกโก้นั้นจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงได้ เนื่องจากในโกโก้มีสารที่ช่วยในเรื่องของการขยายหลอดเลือดและเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดได้ และจากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ค้นพบว่า หากเราได้รับสารอาหารจากโกโก้เป็นปริมาณ 600 มิลลิลิตรต่อวันในทุกๆ วันจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ, เส้นเลือดอุดตัน, หลอดเลือดสมอง และมะเร็งลงไปได้ด้วย นอกจากนี้สารอาหารในโกโก้ยังสามารถช่วยป้องกันไวรัส, ลดอาการภูมิแพ้, ลดความดันโลหิต, ลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด และช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้อีกด้วย
ภาพจาก : https://www.usatoday.com/story/money/nation-now/2018/01/02/m-ms-maker-fears-chocolate-shortage-2050-report-says/996962001/
- ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุข
เหตุผลที่เรารู้สึกอารมณ์ดีเมื่อรับประทานช็อคโกแลตนั้นเป็นเพราะว่าในโกโก้นั้นมีสาร Serotonin ที่ช่วยลดความเครียดและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะกับดาร์คช็อคโกแลตที่จะช่วยเพิ่มระดับ Endophins (สารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์และความรู้สึก) ในสมองของเราได้เป็นอย่างดี
- ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบสมองและความคิด
สาร Flavonoids ในช็อคโกแลตนั้นจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั้งในร่างกายและสมอง ซึ่งเมื่อการไหลเวียนของเลือดดีขึ้นสมองก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยลดน้ำหนัก
เพราะในช็อคโกแลตจะมีสารที่ช่วยปรับสมดุลของระดับอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งปริมาณน้ำตาลในเลือดนี้เองจะช่วยยับยั้งไม่ให้เราอยากอาหารและรับประทานมากจนเกินไป และช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
- ช่วยให้ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น
จากการศึกษาของสถาบันวิจัยพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัย Quebec ในปี 2014 ระบุว่า ช็อคโกแลตมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดในผิว, เพิ่มความชุ่มชื้น, ลดริ้วรอย และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถรับประทานช็อคโกแลตแล้วออกไปลุยแดดได้เลยโดยไม่ทาครีมกันแดดหรอกนะ
ภาพจาก : https://respectthechocolate.com/chocolate-liquor/
และถึงแม้ว่าการรับประทานดาร์คช็อคโกแลตจะส่งผลดีกับร่างกาย แต่การรับประทานที่มากจนเกินความพอดีก็ส่งผลเสียกับร่างกายของเราได้เช่นกัน โดยปริมาณของดาร์คช็อคโกแลตที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน คือ ประมาณ 1-2 ออนซ์ (30-60กรัม) และสำหรับช็อคโกแลตนมที่มีปริมาณโกโก้น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์หรือไวท์ช็อคโกแลตที่ไม่ได้มีส่วนผสมของโกโก้นั้น ปริมาณของสารอาหารต่างๆ จะลดหลั่นลงไปและมีการเติมความหวานจากน้ำตาลและนมเข้ามาแทนที่ จึงอาจไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพเท่าที่ควร