แคนนอน (Canon) ประกาศพร้อมขายกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นล่าสุด “อีโอเอส อาร์พี" (EOS RP) ดีเดย์ปลาย ก.พ. ต้นมี.ค. 62 ระบุเป็นรุ่นแรกที่ขายไทยรวดเร็วเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นที่ต้องรอนานนับเดือน ตอกย้ำไทยเป็นตลาดมิเรอร์เลสที่สำคัญระดับโลกเพราะ 80% ของตลาดกล้องไทยเป็นมิเรอร์เลส สูงกว่าประเทศอื่นที่มีสัดส่วนราว 60% เท่านั้น ระบุแคนนอนไม่ได้รับผลกระทบจากการหายไปของตลาดกล้องตัวเล็กที่ถูกสมาร์ทโฟนกินรวบ มั่นใจบริษัทจะเติบโตในตลาดระดับกลางและฟูลเฟรมราคา 25,000 บาทขึ้นไป
นายนิฐิวัฒน์ วัจนวรานันท์ หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ คอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง (Imaging Consumer Product) บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยในงานเปิดตัวกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นใหม่ล่าสุด Canon EOS RP ว่าวันนี้ตลาดกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทก็เน้นให้ความสำคัญกับตลาดฟูลเฟรม ทำให้บริษัทเปิดตัว Canon EOS RP ในฐานะมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นใหม่ที่จะเสริมความแกร่งให้ Canon ทำยอดขายเพิ่มขึ้นในตลาดกล้องฟูลเฟรมไม่ต่ำกว่า 40% ต่อปี
"ไทยเป็นกลุ่มแรกของโลกที่วางขาย EOS RP ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดกล้องมิเรอร์เลส 80% ที่เหลือ 20% เป็น DSLR สัดส่วนนี้สูงกว่าประเทศอื่นแม้แต่ในยุโรปที่ตลาดกล้องมิเรอร์เลสอยู่ที่ 60% เท่านั้น ถือว่าเมืองนอกให้ความสำคัญกับตลาดไทย มองว่าเป็นตลาดที่เปิดรับสินค้าใหม่ เรียกว่าไทยเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ของภูมิภาคนี้"
สำหรับ Canon EOS RP เป็นมิเรอร์เลสฟูลเฟรมล่าสุดในตระกูล EOS R จุดเด่นคือตัวกล้องขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบาที่สุดในซีรีย์ EOS แบบฟูลเฟรม ภายในใช้เซ็นเซอร์ Dual Pixel CMOS 26.2 ล้านพิกเซล จับโฟกัสไว 0.05 วินาที รองรับการถ่ายในที่แสงน้อยระดับ EV-5 มีระบบตรวจจับดวงตา Eye Detection AF ทำให้การถ่ายภาพบุคคลจับโฟกัสได้ต่อเนื่องทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ตัวกล้องราคาเริ่มต้น 48,900 บาท และตัวกล้องพร้อมเลนส์ RF 24-105L ราคา 88,690 บาท
Canon EOS RP ถูกเปิดตัวพร้อมเลนส์รุ่นใหม่ในตระกูล RF จำนวน 6 รุ่น ซึ่งจะวางจำหน่ายครบทั้ง 6 รุ่นภายในกันยายน 62
ที่ผ่านมา Canon ระบุว่าสามารถจำหน่ายกล้องตระกูล EOS ได้มากกว่า 90 ล้านครื่อง เป็นแชมป์เบอร์ 1 โลกต่อเนื่อง 15 ปีซึ่งคาดว่าจะเป็นต่อไปในปี 2018-2019 จุดนี้บริษัทมั่นใจว่าจะไม่ได้รับผลกระทบในช่วงเวลา 3-5 ปีนับจากนี้ที่ตลาดกล้องจะหดหัว 50% เพราะอิทธิพลของสมาร์ทโฟนที่พัฒนาระบบกล้องถ่ายรูปแบบเหนือชั้น เนื่องจากตลาดกล้องที่ลดลงคือกลุ่มเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งอีก 50% ที่เหลืออยู่คือตลาดที่แน่นเช่นตลาดฟูลเฟรม
"ถ้ากล้องมีเซ็นเซอร์ไซส์ที่น้อยจะไม่ได้รับความนิยมแน่นอน ดังนั้นแคนนอนจะไปที่ฟูลเฟรม แต่เราจะมีทั้ง มิเรอร์เลสและ DSLR เรามองว่าแต่ละระดับราคา จะมีทั้ง EOS และ DSLR เพื่อเป็นทางเลือก ซึ่งแคนนอนจะวางจำหน่ายคู่กันในทุกระดับราคา"
ในตลาดโลก แคนนอนย้ำว่าบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเบอร์ 1 ในตลาด DSLR โดยในตลาดไทย แคนนอนสามารถทำยอดขายกล้อง DSLR เกิน 53% ของตลาดไทยปี 2018 ถือเป็นแชมป์ปีที่ 12 ในไทย เป้าหมายปีนี้คือจะเพิ่มจาก 53% เป็น 58%
สำหรับสัดส่วนตลาดมิเรอร์เลสที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยผลักดันสำคัญคือเพราะราคาที่ต่ำลง ส่งผลให้ตลาดฟูลเฟรมใหญ่ขึ้น จุดนี้ผู้บริหารย้ำว่าราคาต่ำลง 30-40% จาก 5 หมื่นเหลือ 3 หมื่นบาทเท่านั้น
"เรามองราคาที่ลดลงเป็นเรื่องดี เพราะทำให้เกิดดีมานด์ ราคาที่ต่ำลงไม่กระทบแคนนอน เพราะเป็นการลดราคาในกล้องที่ตกรุ่นแล้ว จำนวนจำกัด"
สำหรับ EOS RP ผู้บริหารย้ำว่าออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม เพราะใช้งานง่าย ตอบครีเอเตอร์ผู้สร้างเนื้อหาออนไลน์ก็ได้ รวมถึงนักเดินทาง ขณะเดียวกันก็รองรับความนิยมชอบแชร์บนโลกออนไลน์ ซึ่งจากช่วงที่แคนนอนเริ่มทำฟูลเฟรมและวางจำหน่ายเลนส์ 4 รุ่นจนเป็นข้อจำกัด แต่วันนี้บริษัทออกเลนส์มาเพิ่มอีก 6 รายการ ก็จะครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น
วันนี้แคนนอนระบุว่าตลาดหลักของกล้องยังขายดีที่ กทม. รองลงมาเป็นชลบุรี คาดว่าตลาดจะโตขึ้นแน่นอนโดยเฉพาะเชียงใหม่และขอนแก่น จุดนี้บริษัทจะเน้นลงทุนตลาดไทยเพื่อขยายตลาดมิดเรนจ์ถึงฟูลเฟรม เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มที่ถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก เช่น การทำเวิร์กช็อปเทรนนิ่งให้บ่อยขึ้น รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มนักศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
"ความท้าทายที่สุดของปีนี้คือการแข่งขัน ตลาดรวมลดลง คนที่ทำระดับเอนทรีก็จะยกตัวเองขึ้นมา กลุ่มกลางก็จะทำราคาหนัก ทำโปรรุนแรงแรงมาก พิษเศรษฐกิจที่ไม่ดียังทำให้การใช้จ่ายของคนไทยลดลงชัดเจน โจทย์ของเราจึงมองที่ดีมานด์นั้นมีอยู่ แต่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อ จุดที่จะทำได้คือนวัตกรรม ซึ่งลูกค้าแคนนอนเดิมรออยู่แล้ว"
กล้องดิจิทัลยอดนิยม 3 อันดับแรกของ Canon ได้แก่ M50, EOS R และ 80D ซึ่งจำหน่ายได้หลักพันตัวต่อเดือนหลังจากที่ปรับลดลงราคาลงเหลือ 30,000 บาท โดยกล้องเป็น 1 ใน 3 ธุรกิจหลักของบริษัทในตลาดไทย ได้แก่ ธุรกิจกล้อง ธุรกิจพรินเตอร์ และเครื่องถ่ายเอกสาร ทั้ง 3 หน่วยแบ่งส่วนรายได้เท่ากันราว 30%.