“นี่คือความรู้สึกของคนที่หมดใจ” ภัยเงียบจากการทำงานที่ร้ายแรง ความจริงของคนที่กำลังรู้สึก “เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ” หมดไฟ และไร้แรงจูงใจในการทำงาน หากปล่อยทิ้งไว้นาน ความคิดนี้อาจจะลามไปถึงโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด ซึ่งทั้ง 2 ภาวะนี้นั้นจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป
เหนื่อยกาย: ภาวะของอาการ Burnout Syndrome เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการถูกกดดันมาเป็นระยะเวลานาน ในสถานที่ทำงานด้วยรูปแบบของความคาดหวังที่สูงเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว
เหนื่อยใจ: ภาวะของอาการ Brownout Syndrome ที่ต้องทนเบื่อหน่าย จากความเวิ่นเว้อของเจ้านาย และความวุ่นวายจากสิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน หรือเพื่อนร่วมงานบางประเภท รวมถึง กฎ และเงื่อนไข ที่ตั้งไว้ของบริษัท ทำให้รู้สึกหัวเสียและทำงานได้ไม่เต็มที่
คงไม่มีใครอยากเป็นซอมบี้ไร้สติ ขาดไฟไม่มีกะจิตกะใจในการทำงานหรอกว่ามั้ย มาลองเช็กความชัวร์ สำรวจตัวเองให้ดี บางทีภัยร้ายนี้ อาจจะหลบซ่อนแฝงตัวเงียบๆ อยู่ภายในจิตใจของคุณก็เป็นได้ มาดูกันว่าคุณมีอาการแบบนี้แล้วหรือยัง
สัญญาณเตือนภัย อันตรายจากภาวะ Burnout
- ตื่นเช้ามาพยายามหาข้ออ้างเพื่อลาหยุด
- ไม่แอคทีฟเหมือนเช่นเคย ทำอะไรก็ดูเหนื่อยไปหมด
- สมาธิสั่นลง ไม่สามารถโฟกัสงานที่ทำได้
- เริ่มไม่พัฒนาตัวเอง เลือกที่จะทำแค่ขอไปที
สัญญาณเตือนภัย อันตรายจากภาวะ Brownout
- ความอดทนต่ำลง เมื่อถูกให้ทำตาม “กฎ” ตลอดเวลา
- เลือกที่จะอยู่คนเดียว ออกห่างจากสังคมในที่ทำงาน
- รู้สึกว่าไม่อยากทำงานที่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
- รู้สึกล้มเหลวกับการท้าทายสิ่งใหม่ๆ ไม่สนุกเท่าเมื่อก่อน
หนึ่งสิ่งควรรู้ไว้ อาการหมดไฟ เป็นกันได้ทุกวัย
ลองสังเกตเหล่าคนทำงาน พนักงานออฟฟิศมักมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูงที่สุด สาเหตุมักมาจากปัญหาต่างๆ ในการทำงานที่เจอ หรือวัฒนธรรมองค์กร ที่บางทีก็ยังคงล้าหลัง รวมทั้งเรื่องของช่วงวัยที่แตกต่าง การสื่อสาร ทัศนคติ วิธีการทำงาน ด้วยการมองในมุมที่ต่างกัน ผู้ใหญ่ จะมองว่า งานเป็นแค่สิ่งที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน จึงไม่แปลกที่สามารถทนกับ Routine เดิมๆ วนอยู่กับการทำอะไรซ้ำๆ ได้เป็นเวลานาน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ มองว่า เราเป็นคนเลือกงาน ไม่ใช่งานเลือกเรา จึงมีอิสระทางความคิด และไม่ต้องการหยุดอยู่กับที่ กระตือรือร้นที่จะหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มความต้องการในชีวิต ต่างวัยต่างความคิด สุดท้ายใครทนได้ก็คือผู้ที่อยู่รอด
แนะแนวทางอิคิไก! ปลดล็อคความหมายของชีวิต
ไม่ว่าใครก็อยากที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และรู้สึกสนุกในทุกครั้งที่ตื่น เราจึงต้องหยิบเอาแนวคิดดีๆ มาเป็นไลฟ์โค้ชในการใช้ชีวิตอย่าง “อิคิไก” แปลเป็นไทย ก็คือ ความหมายของการมีชีวิต หรือการหาความสมดุลหรือจุดกึ่งกลางระหว่างองค์ประกอบ 4 อย่างได้แก่
- สิ่งที่คุณรัก หรือมีความสุขที่จะทำ
- สิ่งที่โลกใบนี้ต้องการ
- สิ่งที่สร้างรายได้ให้เรา
- สิ่งที่เราทำได้ดี
ซึ่งแท้จริงแล้วเราทุกคนต่างมี อิคิไก อยู่ในตัวเอง เพราะเราต่างเกิดมามีสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนใคร และมีเหตุผลที่เกิดมาเพียงแต่ว่าจะหามันเจอได้เร็วแค่ไหน การจะดึงเอา อิคิไก ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ คือการ ทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง จัดสมดุลให้ชีวิต ตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป และเลือกทำแต่สิ่งที่รัก
อิคิไก จึงเป็นสิ่งที่ คนรุ่นใหม่นั้นต้องการ และคนยุคเก่าก็ต้องเรียนรู้ เติมเต็มความต้องการที่ยังว่างเปล่า และตัดเรื่องบางเรื่องที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป รับรองว่าหากหามันเจอเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน คุณก็จะมีความสุขกับมันได้เช่นกันนะ
คนเรามีช่วงเวลาที่รู้สึกหมดไฟ และเริ่มที่จะหมดใจได้ แต่เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าไฟกำลังจะมอด ก็คงถึงเวลาที่ต้องเติมเชื้อไฟกันใหม่ อาจจะลองพัก ลาพักร้อน ไปใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ไปทำหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ปล่อยสมองให้คิดถึงแต่เรื่องเบาๆ ไม่แน่ระหว่างการพักนี้คุณอาจจะได้คำตอบของการสร้างพลังไฟแบบใหม่ ให้มันลุกโชนอีกครั้งก็ได้
ความเห็น 1
W.Direk_666 🐮789🐉♍♑🇹
การหมดไฟเบื่อหน่ายเป็นกันได้ทุกคน การสร้างหาแรงบรรดานใจใหม่ๆในยุคนี้ก็มีหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนอนพักเสริมความอ้วนมากกว่า ส่วนแนว อิคิไก น่ะผมไม่รู้จักหรอก..
14 พ.ค. 2562 เวลา 04.45 น.
ดูทั้งหมด