ตอนนี้หนึ่งในความไม่แน่นอนที่ใหญ่ที่สุดที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังเผชิญคือเบล็กซิท (Brexit) สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเบล็กซิท, เบล็กซิทคือการถอนตัวของสหราชอาณาจักร (สหราชอาณาจักร) จากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2019 เวลา 23.00 น. ตามเวลาอังกฤษ ตามหลังการลงประชามติเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2559 เมื่อ 51.9% ของผู้ลงคะแนนเลือกที่จะออกจากสหภาพยุโรป สหภาพยุโรปมีความคล้ายคลึงกับอาเซียน เพียงแต่กฎหมายของสหภาพยุโรปครอบคลุมทั้ง 28 ประเทศที่เป็นสมาชิก สหภาพยุโรปมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าการเคลื่อนไหวของคน, สินค้า, บริการและทุนภายในตลาดเสรี, มีการออกกฎหมายความยุติธรรม, กฏหมายและรักษานโยบายร่วมกันเกี่ยวกับการค้า, เกษตรกรรม, การประมง, และการพัฒนาในระดับภูมิภาค. สหภาพยุโรปครอบคลุม 7.3% ของประชากรโลกและคิดเป็น 24.6% ของ GDP โลก โดยพื้นฐานแล้วอียูเป็นอาเซียนในระดับที่ใหญ่กว่ามาก ปัญหาของเบล็กซิทคือนักการเมืองในสหราชอาณาจักรไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะออกจากสหภาพยุโรปได้อย่างไร เป้าหมายของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์คือการออกจากอียูพร้อมกับข้อตกลงทางการค้าและการเคลื่อนไหวของประชาชน ซึ่งหากไม่มีข้อตกลงเกิดขึ้น, สินค้าจะข้ามช่องทางขนส่งของอังกฤษได้อย่างไร และประชาชนชาวสหราชอาณาจักรและชาวยุโรปเดินทางระหว่าง EU และสหราชอาณาจักรอย่างไร และตอนนี้ก็ยังไม่มีการควบคุมหนังสือเดินทาง ซึ่งนั่นจะเป็นทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงจาก Brexit นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ได้ตัดสินใจจนนาทีสุดท้ายเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่อง BREXIT จากสหภาพยุโรปและพยายามผ่านข้อตกลงของเธอไปยังรัฐสภา น่าเสียดายที่เมื่อคืนนี้ข้อตกลงต้องล้มเหลว รัฐสภาจะลงคะแนนเสียงให้ออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง หรือขยายกำหนดเวลาในการถอนตัวออกจากสหราชอาณาจักร นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ตลาดโลกไม่ได้เตรียมใจไว้ และดูเหมือนเรื่องนี้จะผ่านฉลุยแบบไม่มีข้อติดขัด ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อังกฤษที่ร่วงลงในปี 2016 เมื่อผู้ลงคะแนนในสหราชอาณาจักรเลือกที่จะออกจากสหภาพยุโรป โดยเงินปอนด์ซื้อขายต่ำสุดที่ 1.20 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินปอนด์ปัจจุบันอยู่ที่ 1.31 ต่อดอลลาร์สหรัฐ การไม่มีข้อตกลงของเบล็กซิท จะทำให้เกิดการเทขายในตลาดหุ้นทั่วโลก และประเทศไทยจะไม่รอดพ้นจากผลกระทบนี้ สหราชอาณาจักรยังคงเป็นคู่ค้าสำหรับประเทศไทยและ มีประชากรชาวอังกฤษประมาณ 1 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย พวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างมากเมื่อค่าเงินปอนด์ลดลงเมื่อเทียบกับเงินบาทและจะซื้อสินค้าและบริการน้อยลงในประเทศไทย นอกจากนี้หากสินค้าไม่สามารถส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรหรือไม่สามารถนำเข้าสินค้าสหราชอาณาจักรได้ มันจะเกิดสินค้าคงค้างบนท่าเรือและในคลังสินค้าซึ่งจะทำให้การค้าโลกหยุดชั่วคราว เนื่องจากประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกจึงส่งผลที่ไม่ดีสำหรับหุ้นไทยที่พึ่งพาการส่งออก ประเด็นสำคัญคือเบล็กซิท เป็นปัญหาระดับโลกที่สามารถสร้างวิกฤตทั่วโลกได้ แต่มีคนจำนวนมากที่ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่แนะนำให้ตื่นตระหนกกันในนี้ สิ่งที่ควรทำคือติดตามข่าวเบล็กซิทอย่างต่อเนื่อง เพราะมันจะส่งผลอย่างมากต่อการค้าโลก, หุ้นทั่วโลก, ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผมจะคอยอัพเดทให้ชาว stock2morrow ได้ทราบถึงปัจจัยสำคัญอยู่เสมอๆ ซึ่งกุญแจสำคัญคือ "การมีแผนคอยรองรับและลงทุนตามแผนที่วางไว้อย่างเหมาะสม" และโปรดจำไว้ว่า การรักษาเงินทุนเป็นงานที่สำคัญอันดับหนึ่ง
บทความโดย Mark Yagalla
แปลโดย สมศักดิ์ ฉายามณีรัตน์
----------------------------------------------------------------------------
บทความต้นฉบับ
How Brexit Can Affect Thai Stocks
Right now, one of the biggest uncertainties facing global investors is Brexit. For those that are unfamiliar with Brexit, Brexit is the withdrawal of the United Kingdom (UK) from the European Union (EU), which is scheduled to take place on 29 March 2019 at 11 pm UK time. It follows the referendum of 23 June 2016 when 51.9 percent of voters chose to leave the EU.
The EU is similar to ASEAN except that EU laws govern all 28 countries that are members. The EU aims to ensure the free movement of people, goods, services and capital within the internal market, enact legislation in justice and home affairs and maintain common policies on trade, agriculture, fisheries and regional development. The EU covers 7.3% of the world’s population and accounts for 24.6% of global GDP. Basically, the EU is ASEAN on a much larger scale.
The problem with Brexit is that UK politicians cannot agree on how best to leave the EU. The goal of Prime Minister Theresa May is to leave the EU with a deal in terms of trade and movement of people. If there is no deal, how do goods cross the English channel and how do UK and European citizens travel between continental Europe and the UK? Right now, there are no passport controls, but that all changes with Brexit.
Prime Minister May secured last minute changes to her Brexit package from the EU and sought to pass her deal in Parliament. Unfortunately, last night the deal failed. Parliament will now vote to exit the EU with no deal or to extend the deadline to withdraw from the UK.
This is a big deal that global markets are unprepared for. More likely, it is looking like there will be no deal struck. This runs the risk of the British Pound falling to 2016 levels when UK voters chose to leave the EU. The Pound traded as low as 1.20 to the US Dollar. The Pound is currently at 1.31 to the US Dollar.
A no Brexit deal will also trigger a global selloff in stock markets around the world. Thailand will not be immune to the effects. The UK is still a trading partner for Thailand and there are an estimated 1 million UK citizens living in Thailand. They will be greatly affected as the value of the Pound drops against the Baht and will buy less goods and services in Thailand. Furthermore, if goods cannot get into the UK or goods shipped from the UK, it will create a surplus of goods sitting on docks and in warehouses, which will cause global trade to pause. As Thailand is an export-driven economy, this is not good for Thai stocks that rely on exports.
The bottom line is the Brexit is a global issue that could create a global crisis. Too many are not paying attention to what could happen. While I am not suggesting panic at this time, it is important to monitor the latest Brexit news as it could have an enormous impact on global commerce, global stocks, and which will impact the SET.
I will be updating stock2morrow readers as the situation develops. The key always is to have a plan and trade that plan accordingly. Remember, preservation of capital is job number one.
Mark Yagalla
อดีต Hedge Fund ผู้มีชื่อเสียงจาก Wall Street สามารถทำเงินจากการเทรดกว่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ภายในอายุ 19 เป็นผู้บริหารกองทุนขนาดกว่า 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในเวลาต่อมา. เป็นผู้เขียนบทความต่างๆมากมายบน website ทางการลงทุน เช่น Insider Finance, The Motley Fool, Seeking Alpha, และ Hacker Noon. และผลงานหนังสือ Wall Street Joyride: The True Story of the Prodigy, the Playmates and the Missing $50 Million
