โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

BLUE VALENTINE | เรียนรู้ความรักในวันที่ไม่เหมือนเก่า - เพจ Kanin The Movie

TALK TODAY

เผยแพร่ 15 ต.ค. 2562 เวลา 17.00 น. • เพจ Kanin The Movie

“เราจะเชื่อในความรู้สึกของตัวเองได้ไง 

นเมื่อมันสามารถจางหายไปได้ง่ายดายแบบนั้น”

กับบางคน ความรู้สึกอาจเป็นเรื่องที่ “มั่นคง” และกับบางคน ความรู้สึกช่างเป็นสิ่งที่ “เปราะบาง” แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือมองว่าประโยคดังกล่าวเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่า Blue Valentine (2010) ผลงาน โรแมนติก-ดราม่า จาก เดเร็ค เซียนฟรานซ์ โน้มน้าวความรู้สึกให้เราเชื่อตามนั้นจริง ๆ เรื่องราวของคู่รักสามีภรรยาที่ถูกเล่าขนานไปด้วยกัน 2 ช่วงเวลา (อดีต และ ปัจจุบัน) ไม่เพียงแต่เป็นหนัง “รักร้าว” ที่ถูกร้อยเรียงอย่างสมจริงที่สุดเรื่องหนึ่งเท่านั้น หากแต่ยังวนกลับมาตั้งคำถามถึงมุมมองที่เรามีต่อชีวิตคู่ด้วย แม้ว่าเนื้อหาในหนังจะให้ความรู้สึกราวกับเป็น “ฝันร้าย” ของความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันคือ “บทเรียน” ที่มีคุณค่ามาก ๆ บทหนึ่ง ถึงจะเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดหรือทรมานก็ตาม 

Blue Valentine เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของชายหญิงสองคน ดีน และ ซินดี้ หนุ่มสาวที่พบรัก คบหา และใช้ชีวิตร่วมกันในเวลาต่อมา ความน่าสนใจของภาพยนตร์คือเทคนิคการนำเสนอที่ตัดสลับ “สองช่วงเวลา” ระหว่างช่วงเริ่มต้นที่ทั้งคู่เริ่มคบหาและตัดสินใจแต่งงานกัน กับหลายปีต่อมาในปัจจุบันที่ความสัมพันธ์อยู่ในช่วงวิกฤต ต่างฝ่ายต่างเป็นทุกข์จากการใช้ชีวิตร่วมและเริ่มมองหาทางแก้ไขที่จะพาความรักกลับไปเหมือนวันแรกของทั้งสองอีกครั้งให้ได้ (แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายเลย) ซึ่งการนำเสนอแบบนี้ทำให้หนังออกมาในลักษณะยั่วล้อและย้อนแย้งตลอดเวลา การได้เห็นภาพคนที่เพิ่งรัก มอบคำสัญญาต่อกัน พร้อม ๆ กับคนที่เลิกรา ผิดคำสาบานทุกข้อ เป็นอะไรที่น่าตลกสิ้นดี แต่แน่นอนว่ามันก็ใจสลายมาก ๆ ด้วย 

“ตอนผมยังเด็ก ผมฝันร้ายอยู่สองเรื่อง: 

สงครามนิวเคลียร์ กับวันที่พ่อแม่ผมหย่าร้างกัน”

เดเร็ค เซียนฟรานซ์ บอกว่าแรงบันดาลใจสำคัญในการทำ Blue Valentine มาจากประสบการณ์ครอบครัวของเขาที่หย่าร้าง (พ่อแม่เลิกกันตอนที่เขาอายุ 20 ปี) เขาใช้เวลาพัฒนาบท 12 ปี 66 ดราฟ กับมือบทอีกสองคน รวมถึงต่อยอดบทร่วมกับ มิเชล วิลเลี่ยม และ ไรอัน กอสลิ่ง ด้วย ซึ่งทั้งหมดต่างมีประสบการณ์ครอบครัวล่มสลายเหมือน ๆ กัน การทำภาพยนตร์รักร้าวนี้สำหรับ เซียนฟรานซ์ คือการเผชิญหน้ากับความกลัวและความสับสนที่ติดค้างอยู่ในใจที่ค่อย ๆ ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจในปัญหาและความซับซ้อนทางความรู้สึกเหล่านั้นมากขึ้นในทุก ๆ ดราฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในหนังกับการอธิบาย “ความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นระหว่างหนุ่มสาวสองคนที่ทุกอย่างเคยดีแต่แล้ววันหนึ่งทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป  

สิ่งที่น่าสนใจใน Blue Valentine คือการไม่พยายามผลักให้ใครเป็นฝ่ายผิด “ในความสัมพันธ์ บางครั้งก็ไม่มีใครเป็นผู้ร้าย” เซียนฟรานซ์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวของ ดีน และ ซินดี้ ในหนัง แม้ว่าเราจะได้เห็นทั้งสองต่างมีปัญหาและข้อเสียของกันและกันอย่างชัดเจน แต่เมื่อถึงท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องยากที่จะชี้หน้าและบอกว่าใครเป็นคนทำลายชีวิตคู่นี้จริง ๆ ความกระอักกระอ่วนและแสนอึดอัดดังกล่าวกลายเป็นประเด็นและคำถามที่น่าสนใจให้กับหนัง การปล่อยให้ผู้ชมเห็นปัญหามากกว่าเหตุผล เกิดเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาทางออกหรือแก้ไขได้ เป็นความทรมานที่หลายครั้งก็ยากจะรับชม ยิ่งเมื่อเราได้เห็นภาพอันหวานชื่นของทั้งสองในอดีตตัดสลับไปมา ก็ยิ่งตอกย้ำความสิ้นหวังของทั้งคู่ให้เด่นชัดมากขึ้น หนึ่งในซีเควนซ์สำคัญที่อธิบายรอยร้าวของทั้งสองได้ดีที่สุดคือฉาก “ม่านรูด” ที่ ดีน หวังจะพา ซินดี้ ไปเติมเต็มไฟรักให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งแต่ก็ต้องพบความจริงที่ว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับความสัมพันธ์นี้ได้อีกแล้ว ทุกความพยายามจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายลงเสมอ เฉกเช่นทุกการตัดสินใจที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอันไม่สิ้นสุดของกันและกัน

“You always hurt the one you love. 

The one you shouldn't hurt at all” 

ฉากที่แสนโรแมนติกฉากหนึ่งที่ ดีน เล่นดนตรีให้ ซินดี้ เต้นกลายเป็นหนึ่งในซีนสำคัญที่อธิบายปัญหาความสัมพันธ์ของทั้งสองได้ดีที่สุด แม้ความจริงแล้วชีวิตคู่จะไม่ได้เป็นอย่างในเนื้อเพลงเสมอไปกับทุก ๆ คนหรือทุก ๆ เวลา แต่ก็เพราะความรักไม่ใช่หรือที่เปิดโอกาสให้เราเจ็บปวดได้ง่ายดายกว่าเดิม? ไม่ว่า เดเร็ค เซียนฟรานซ์ จะมีทัศนคติต่อความรักอย่างไร การที่เขาพาความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวจากวันหนึ่งที่แสนโรแมนติกสู่ช่วงเวลาที่ขมขื่นก็เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การทบทวนไม่น้อย การยอมรับว่าคนที่ทำให้เรารู้สึกดี คอยดูแล และปกป้องความรู้สึกเราก็สามารถทำให้เราเสียใจได้ในวันหนึ่ง (และอาจจะมากกว่าใครคนอื่น) ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร การฉายภาพความสัมพันธ์ของ ซินดี้ และ ดีน ในอดีตที่ทั้งสองคอยช่วยเหลือและก้าวข้ามปัญหาสำคัญด้วยกัน กับปัจจุบันที่ต่างฝ่ายต่างไม่ห่วงใยในความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้วทำให้เราเห็นว่าความรักสามารถแปรเปลี่ยนไปสู่อะไรได้บ้าง และช่างเปราะบางแค่ไหน  

แน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าวเต็มไปด้วยเหตุผลมากมาย ทั้งการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล การเห็นใจกันและกันน้อยลง มองเห็นตัวเองมากกว่าความสัมพันธ์โดยรวม เราได้เห็นหลายๆการตัดสินใจของ ดีน และ ซินดี้ ที่มักมองข้ามความสัมพันธ์ที่อยู่ตรงหน้า หลาย ๆครั้งพวกเขาได้สติกลับมาแก้ไข แต่หลาย ๆ ครั้งก็บานปลายจนกลายเป็นการทะเลาะรุนแรง สิ่งที่น่าเศร้าใน Blue Valentine คือพวกเขาทั้งสองไม่เคยคิดหรือต้องการจะทำร้ายกันและกันเลยสักครั้ง หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของบางสิ่ง และการจางหายของบางอย่างที่ทำให้เรื่องระหว่างเขาทั้งสองไม่เหมือนเดิม ทั้งการสื่อสาร การทำความเข้าใจ หรือการพยายามต่อกัน ซึ่งถ้าไม่เป็นเพราะวิธีการที่ต่างออกไปก็คงเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงจนทำให้เรารู้สึกไม่เหมือนเดิมต่ออะไรที่เคยทำด้วยกันแล้วมันเคยดี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนที่ดีที่สุดในหนังคือไคลแม็กซ์ของเรื่องที่ทั้งสองกลับมาบ้านเพื่อทะเลาะกัน สิ่งที่ทำให้การทะเลาะครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาคือ ซินดี้ ตัดสินใจจะเลิกกับ ดีน ด้วยเหตุผลที่เธอไม่สามารถรับมือกับมันได้อีกต่อไป ในขณะที่ ดีน เพิ่งรู้สึกตัวได้และขอร้องโอกาสที่จะแก้ไขทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง แน่นอนว่าความพยายามของ ดีน เป็นสิ่งที่ดี แต่เธอไม่ได้ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองเดินทางมาถึงจุดที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ด้วยกัน หรือกระทั่งพยายามต่อกันอีกต่อไป ความคาราคาซังของความขัดแย้งและปัญหาที่กลับเพิ่มขึ้นเมื่อทั้งคู่พยายามจะพาตัวเองกลับไปสู่คู่รักโรแมนติกเมื่อหลายปีก่อนทำให้ทุกอย่างหนักหนาสาหัสมากขึ้น และด้วยความที่เธอเป็นเธอ และเขาเป็นเขา ทำให้ ซินดี้ มั่นใจและเด็ดขาดในการตัดสินใจนี้ เพราะสำหรับเธอมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

แน่นอนว่าเธอเสียใจ แต่ทุกคนอาจมีวิธีจัดการกับความรู้สึกที่แตกต่างกันไป หากคอนเซ็ปต์ของ Blue Valentine คือการพูดถึงความสัมพันธ์ที่ “วันนี้ไม่เหมือนเก่า” ซินดี้ คงมีวิธีรับมือและมองเห็นทางออกที่แตกต่างออกไปจาก ดีน การหย่าร้างอาจไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเมื่อเทียบกับปัญหาที่สะสมในทุกๆวัน อาจจะดูใจร้าย เห็นแก่ตัว แต่ก็มีผลลัพธ์ที่ดีในคำตอบของเธอเอง สิ่งที่ดีมากๆในฉากนี้รวมถึงภาพรวมของหนังคือการที่ เซียนฟรานซ์ ทำให้เรารู้สึกเชื่อและเข้าอกเข้าใจในทุกการตัดสินใจของตัวละคร ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อยากเอาใจช่วยหรือไม่รู้สึกใดๆ การล่มสลายของความสัมพันธ์ที่ถูกเล่าไปพร้อมๆกับวันที่ทั้งสองเข้าพิธีวิวาห์ก็เป็นอะไรที่น่าใจหายอยู่ดี เรารู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนไป เรารู้ว่าชีวิตคู่พวกเขาไม่เหมือนเดิม เรารู้ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้ากับชีวิตแต่งงาน แต่เราก็ไม่อาจรับได้ในวันหนึ่งที่พวกเขาต้องเลิกกันจริง ๆ เพราะลึกๆเราอาจจะยังหวังให้พวกเขาสามารถแก้ไขได้ พบเจอทางออกได้ แต่สุดท้ายปลายทางนั้นก็ไม่มีจริง มันอาจจะดูเป็นหนังรักที่แสนใจร้าย แต่หลาย ๆ ครั้งนี่ก็เป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุด ไม่ว่าคุณจะพอใจหรือต้องฝืนความรู้สึกแค่ไหนก็ตาม

Blue Valentine จบลงด้วยภาพของทั้งสองคนกอดกัน ก่อนจะที่ฝ่ายชายจะเดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ลูกสาวของทั้งสองสงสัยและสับสนในท่าทีของพ่อเธอ (ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ เซียนฟรานซ์ เผชิญหน้ามาโดยตลอด) สิ่งที่น่าเจ็บปวดของฉากจบดังกล่าวนอกเหนือจากภาพพลุและช่วงเวลาแสนสุขของทั้งสองใน End Credit คือประโยคสำคัญที่ ดีน อ้อนวอนกับ ซินดี้ ให้เธอมอบโอกาสแก่เขาอีกครั้ง

“คุณสัญญากับผมเอาไว้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย คุณพูดเอาไว้” 

ดีน ทวงคืนคำสัญญาที่พวกเขาเคยให้กันในวันที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น สิ่งที่ ซินดี้ ตอบรับคือการปฏิเสธ เธอรู้ว่ามันคือคำสัญญา คือคำสาบานที่ครั้งหนึ่งเคยมอบให้กัน แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การจางหายของความรู้สึกพัดพาสิ่งอื่น ๆ ให้เลือนหายตามไปด้วย และไม่ว่าเราจะเรียกร้องให้มันกลับคืนมาแค่ไหนก็ดูจะเป็นเรื่องที่สายเกินไปเสียแล้ว เช่นเดียวกับหลาย ๆ เรื่องที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้นอกจากการทำใจและยอมรับความจริงที่เจ็บปวดดังกล่าวให้ดีที่สุด 

Blue Valentine ไม่ใช่ภาพยนตร์รักที่มาพร้อมกับข้อคิดหรือข้อควรปฏิบัติของการประคับประคองความสัมพันธ์ให้ไปได้ดีตลอดรอดฝั่ง หากแต่เป็นการฉายภาพเรื่องราวของการ “ไม่รักกัน” ให้เราได้เรียนรู้และทบทวนถึงชีวิตคู่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์และสมจริงที่สุดครั้งหนึ่งบนโลกภาพยนตร์ มันคือเรื่องราวของมนุษย์ที่ตกหลุมรัก ใช้ชีวิตร่วมกัน และถึงวันหนึ่งทุกอย่างก็ล่มสลายอย่างไร้วิธีแก้ไข กระนั้น แม้ตลอด 2 ชั่วโมงจะเต็มไปด้วยความอึดอัดและสถานการณ์ขมขื่น เดเร็ค เซียนฟรานซ์ ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเขามีทัศนคติแง่ลบต่อชีวิตคู่อย่างมีอคติ หากแต่เป็นมุมมองที่เข้าอกเข้าใจมันเป็นอย่างดีต่างหาก (แม้กระทั่งในเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างการจางหายไปของความรู้สึก)  

หากเราสามารถตกหลุมรักใครสักคนได้อย่างง่ายดายตั้งแต่แรกเห็น 

การที่สักวันหนึ่งเราจะไม่รักกัน มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ จริงมั้ย? 

.

.

ติดตามบทความของเพจ Kanin The Movie ได้บน LINE TODAY ทุกวันพุธ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0