BDMS เทรดคึกคักเช้านี้ มูลค่าซื้อขายติด TOP5 ดันดัชนีอันดับ 1 ตลาดคาดรับอานิสงส์ฝุ่น PM2.5 บวกไวรัสโคโรนา โบรกฯมองอาจเพิ่มอัพไซด์กำไรปีนี้ หลังคาดการณ์ยอดคนไข้จีนเพิ่ม สำรวจผลตอบแทนรอบ 1 ปี พบยัง Laggard กลุ่ม
ราคาหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS)เช้านี้มีมูลค่าการซื้อขายคึกคักติดTOP5 และเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักในการดันดัชนีมากสุดอันดับ 1 โดยช่วงเช้าราคาปรับขึ้นทำไฮ 25.50 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 25.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.21% มูลค่าการซื้อขาย 1.47 พันล้านบาท
BDMS ทำธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในไทย โรงพยาบาลเครือข่ายที่คุ้นเคย เช่น กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบี เอ็น เอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และกลุ่มโรงพยาบาลรอยัล
BDMS ยังเป็นหุ้นโรงพยาบาลที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วยขนาดมาร์เก็ตแคปราว 4 แสนล้านบาท และมีความสามารถในการทำกำไรต่อปีในช่วง 8,000-10,000 ล้านบาท (59-61)
ส่วนงวดปี 62 อยู่ระหว่างรอประกาศงบไตรมาสสุดท้าย แต่ข้อมูลล่าสุดงวด 9 เดือนแรกปี62 กำไรอาจจะดูสูงผิดปกติที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าปี 61 ทั้งปี สาเหตุหลักมาจากมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น RAM(6 พันลบ.) แต่หากตัดรายการนี้ออก จะมีกำไรสุทธิ 7.6 พันลบ. ลดลงเล็กน้อย YoY
*เช้านี้ ราคาหุ้น BDMS มีมูลค่าการซื้อขายติด 1 ใน 5 อันดับแรก พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่มากกว่าปกติ ตลาดมองว่าเป็นหนึ่งในหุ้นโรงพยาบาลที่รับอานิสงส์จากโรคระบาดไวรัส โคโรนา และมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งน่าจะเพิ่มจำนวนคนไข้ และจะส่งผลให้กำไรของ BDMS มากกว่าที่ โบรกฯ คาดการณ์ไว้
บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า กลุ่มโรงพยาบาลเงินสดอย่าง BDMS,BH และ PR9 น่าจะรับอานิสงส์จากสถานการณ์ความกังวลเรื่องสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน จากกรณีฝุ่น PM 2.5 ที่สูงในหลายพื้นที่ จนเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กนักเรียน และนำมาสู่มาตรการปิดโรงเรียน 437 แห่งใน กทม.
เอเซียพลัส มองว่า มีโอกาสที่จะสร้างอัพไซด์ ต่อประมาณการปี 63 ได้เช่นกันบวกจากเรื่องจำนวนผู้ป่วย ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BDMS ที่มีเครือข่ายโรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศมีโอกาสได้ประโยชน์มากสุด เช่นเดียวกับ การระบาดของโรคปอดอักเสบที่เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น ที่น่าจะสร้างผลบวกมากกว่าผลกระทบ เนื่องจากกรณี BDMS มีฐานลูกค้าจีนราว 1% ขณะที่ BH อยู่ราว 3-4%
บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า โรงพยาบาลที่บริษัททำการศึกษาอยู่ 6 บริษัท ที่มีลูกค้าจีนใช้บริการได้แก่ BDMS และ BH สัดส่วนรายได้ราว 2% ของรายได้รวมใกล้เคียงกัน BCH และ THG มีสัดส่วนรายได้น้อยกว่า 2% ส่วน CHG และ VIBHA มีสัดส่วนรายได้น้อยกว่า 1%
นอกจากนี้ โรงพยาบาลต่างๆ มีมาตรการรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข จึงมองว่าการตื่นตัวและมีมาตรการรับมือที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ใช้บริการมีความเชื่อมั่นต่อโรงพยาบาล และมีผลกระทบจำกัดต่อปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ
*โบรกฯ คาดกำไรปกติปี 62 ราว 9.6 พันลบ. -1 หมื่นลบ. ดีขึ้นเล็กน้อย
บล.เคทีบี คาดกำไรสุทธิปี62 อยู่ที่ 15,196 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ 9,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY และกำไรสุทธิ Q4/62 ประเมินว่าจะยังสามารถเติบโตได้ YoY จากการเปิด รพ.กรุงเทพ เชียงราย, Bangkok International Hospital และชะลอตัว QoQ ตามฤดูกาล แนะนำ“ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 28.00 บาท
บล.ฟิลลิป คาด กำไรสุทธิปี62 ที่ 15,523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.9% YoY แต่กหากตัดรายการพิเศษออก คาดจะมีกำไรปกติทั้งปีที่ 10,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% YoYราคาพื้นฐาน 26 บาท แนะนำ "ทยอยซื้อ"
*ย้อนหลังไป 1 ปีที่ผ่านมา BDMS นับว่ายัง Laggard กลุ่ม เพราะให้ผลตอบแทนเพียงแค่ 1.81% เทียบกับหุ้น รพ.ตัวอื่นๆ อย่างเช่น CHG, RPH และ RJH ที่ให้ผลตอบแทน 37.50% ,35.33 และ 30.65% ตามลำดับ ดังนั้น ก็ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้อีก
แต่ก็ต้องระวังในระยะสั้น เพราะพฤติกรรมราคาวานนี้เล่นกับข่าวเรื่องไวรัสโคโรนา ถูกดันขึ้นไปแถวๆ 26 บาท วอลุ่มเทรดสูงผิดปกติเกือบ 300% ก่อนจะค่อยๆ รินขายออกช่วงบ่าย และปิดลบในที่สุด 3.14%
