โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Alpha Pro แนวคิดที่จะช่วยผลักดันให้เราไปอยู่ในองค์กรที่ใช่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

a day BULLETIN

อัพเดต 26 ก.พ. 2563 เวลา 11.46 น. • เผยแพร่ 26 ก.พ. 2563 เวลา 11.46 น. • a day BULLETIN
Alpha Pro แนวคิดที่จะช่วยผลักดันให้เราไปอยู่ในองค์กรที่ใช่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Alpha เป็นตัวอักษรกรีกตัวแรก (A) หรือเลข 1 ของตัวเลขซีริลลิก มีความหมายโดยรวมว่าจุดเริ่มต้นหรืออันดับแรก 

        นอกจากนี้ อัลฟายังเป็นชื่อของคลื่นสมองระดับอัลฟา (Alpha Brainwave) ซึ่งความถี่ของคลื่นในระดับนี้จะเป็นสภาวะที่มนุษย์สามารถรับข้อมูลหรือเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีที่สุด โดยจะพบได้ในคนที่มีความสุขหรือมีสมดุลในตัวเอง ซึ่งเกิดจากการนั่งสมาธิหรือการฝึกฝนตัวเองให้รู้จักกับความผ่อนคลายอีกด้วย

        ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเรื่องราวของ เจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA และนายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย ผู้ค้นพบหลักการพัฒนาตัวเองโดยเขาและทีมงานจาก FINNOMENA จะนำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ มานำเสนอในคอลัมน์ Alpha Pro เพื่อช่วยให้เราโฟกัสกับการเปลี่ยนตัวเองให้เป็น ‘มนุษย์สายพันธุ์ Alpha’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และฟื้นฟูจิตใจให้กลับมามีความสุขพร้อมกับยกระดับองค์กรให้เติบโตไปในยุคที่ทุกอย่างพร้อมจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

เจษฎา สุขทิศ
เจษฎา สุขทิศ

คำว่า Alpha Pro ที่คุณเอามาใช้เป็นชื่อคอลัมน์ให้กับทางa day BULLETIN คุณตั้งใจจะบอกเล่าในเรื่องอะไร

        ชีวิตการทำงานของผมอยู่กับคำว่า Alpha มาตลอด ซึ่ง Alpha ในโลกของผู้จัดการกองทุนความหมายของมันคือผลตอบแทนที่ทำได้มากกว่าดัชนีอ้างอิง ถ้าผมทำรายได้มากกว่าดัชนีตลาดหุ้นตั้งไว้จะเรียกว่า Alpha ถ้าผมทำได้ถึงก็คือความสำเร็จในอาชีพของผม ซึ่งผมอยู่กับสิ่งนี้มา 17 ปี มีเป้าหมายของตัวเองที่ต้องเป็น Alpha อย่างเดียว 

คำว่า Alpha ในแง่ของการเงินการลงทุน จริงๆ แล้วคืออะไร

        ก่อนพูดถึงคำว่า Alpha อยากเล่าให้ฟังถึงเรื่องผลตอบแทนทบต้นก่อนครับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บอกว่า ผลตอบแทนทบต้นนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีผลตอบแทนในตลาดหุ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 10% แต่เขามีรายได้จากผลตอบแทนทบต้นเพิ่มอีกปีละ 10% เป็น 20% เมื่อเขาทำได้ต่อเนื่องมา 50 ปี เงินของเขาจึงโตขึ้นเป็นแสนๆ เท่าตัว พูดให้เห็นภาพคือ เขามีเงินลงทุน 600 บาท แต่ทำให้เงินเติบโตเป็นเงินหลายล้านบาทได้ในเวลา 50 ปี แนวคิดแบบนี้ ผมเรียกว่า Alpha ครับ โดยนักลงทุนเหล่านี้คือ Alpha Investor 

ชื่อคอลัมน์ของคุณคือ Alpha Pro คำว่า Pro ในชื่อคอลัมน์ของคุณคืออะไร

        ผมใช้ Pro ที่ไม่ใช่ตัวย่อของคำว่า Professional แต่เป็นคำคุณศัพท์ ที่หมายความว่าชื่นชอบหรือสนับสนุน เช่น ผม Pro พรรคเดโมแครต คุณ Pro พรรครีพับลิกัน หมายถึงเราเป็นคนที่เชียร์พรรคการเมืองพรรคนั้นพรรคนี้ เมื่อใช้เป็น Alpha Pro จึงหมายความว่า เราสนับสนุนหรือชอบแนวคิดอะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้เรามีประสิทธิภาพในตัวเองมากขึ้น

คุณบอกว่าหลักของ Alpha Pro มีส่วนผสมของการพัฒนาตัวเองด้วย

        Alpha Pro มีแขนงของมันอยู่ โดยแขนงแรกคือ Alpha Life หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างไรให้เป็น Alpha ซึ่งแนวคิดนี้มาจากตัวผมเองตรงๆ เลย จากที่เมื่อก่อนผมจะเป็นมนุษย์ที่พุ่งเข้าชนทุกอย่าง ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หลายปีหลังมานี่ผมกลับพบว่าวิธีที่ดีกว่า คือการรักษากิจวัตรของตัวเองให้ได้ ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จอย่าง เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารเว็บไซต์ Amazon.com, สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของ Microsoft หรือแม้แต่ บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ทุกคนล้วนแต่มีการกำหนดรูทีนของตัวเองอย่างเคร่งครัดทั้งนั้น เช่น กำหนด 5 สิ่งที่ต้องทำในตอนเช้า และ 5 สิ่งที่ต้องทำก่อนนอน 

        เมื่อเรารักษากิจวัตรประจำวันของตัวเองได้ Alpha จะเกิดขึ้น ทำงานน้อยลงแต่ได้งานมากขึ้น บางทีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงคุณกลับได้งานมากขึ้นกว่านั่งทำหลายๆ ชั่วโมงติดกัน 

กิจวัตรแบบ Alpha ที่ว่าแตกต่างจากการทำงานประจำที่หลายคนคุ้นเคยอย่างไร 

        ผมเซตกิจวัตรให้ตัวเองโดยเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าต้องออกกำลังกาย ส่วนสี่ทุ่มครึ่งก็ต้องอยู่บนเตียงแล้ว แม้ว่าเอาเข้าจริงการใช้ชีวิตช่วงกลางคืนเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก เพราะเราอาจจะต้องออกไปสังสรรค์หรือทำอะไรบ้าง แต่ก็ต้องเข้มงวดกับตัวเองพอสมควร แต่ถ้ามองที่เด็กยุคนี้เขากลับมีรูทีนของตัวเองที่ยอดเยี่ยมมากๆ เมื่อก่อนผมจะมองว่าทำไมพอถึงห้าโมงเย็น เด็กๆ ต้องเปลี่ยนชุดไปออกกำลังกายที่สวนลุมพินี ทำไมไม่ลุยงานให้หนักกว่านี้ แต่ตอนนี้ความคิดของผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมจะบอกพวกเขาเลยว่าไปเถอะ ไปรักษากิจวัตรของตัวเอง เมื่อเรารักษากิจวัตรของตัวเองได้ เราจะมีพลังในการทำงานเยอะขึ้นกว่าเดิม

        ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเมื่อคืนผมกลับบ้านดึกเพราะไปกินเลี้ยง วันนี้มาทำงานก็ไม่กระปรี้กระเปร่าเพราะตัวเองเสียกิจวัตรของตัวเองไป นี่คือผลของการหลุดจากกิจวัตรของตัวเองที่ส่งผลไปถึงอีกวันเลย ชีวิตในวันนี้ของผมจะไม่มีประสิทธิภาพเลย คุณบอกว่าคนเราทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง การมีวินัยในกิจวัตรของตัวเองนั้นจะทำให้ 8 ชั่วโมงของคุณทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่มาถึงออฟฟิศแล้วก็นั่งลอยๆ จนถึงเที่ยงแล้วก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา 

        แขนงต่อมาที่เรียกว่า Alpha Company คือเป็นบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูง มีวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างแบบกลับด้านจากวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิมๆ ทั้งในเรื่องของความยืดหยุ่นในการเข้าทำงาน คุณจะมาแปดโมงหรือเก้าโมงครึ่งก็ได้ ก็รับผิดชอบงานของตัวเองไป ใช้ระบบในการวัดผลที่ดูกันแต่ผลลัพธ์ 

        คุณจะจัดการรูปแบบชีวิตของตัวเองอย่างไรก็แล้วแต่เลย ซึ่งวิธีนี้ตอบโจทย์ได้มากกว่า เหมือนกับที่พูดกันมาตลอดว่าคนเราต้องมี Work Life Balance แต่ถ้าเมื่อคืนคุณกลับบ้านดึกมาก แล้วต้องเข้ามาตอกบัตรตอนแปดโมงเช้า คนที่นอนไม่พอจะมีประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างไร 

        ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะผมเคยทำงานที่ธนาคารและบริษัทกองทุนต่างๆ มาก่อน ผมใช้เวลาอยู่นอกบ้านวันละ 15 ชั่วโมง แล้วเราจะมีลูกกันไปเพื่ออะไร เพราะเวลาทั้งหมดอยู่กับงาน ความเครียดก็สะสม สติก็ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว การอยู่นอกบ้านวันละ 15 ชั่วโมงอาจได้งานน้อยกว่าวันดีๆ ที่เราสามารถโฟกัสกับงานได้อย่างเต็มที่วันละ 8-9 ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ

 

เจษฎา สุขทิศ
เจษฎา สุขทิศ

สภาพสังคมตอนนี้ทั้งเศรษฐกิจ ปัญหาการจราจร แนวคิดของคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่หลายๆ อย่าง จะสร้าง Alpha Company ได้จริงแค่ไหน

        ความทุกข์ทรมานที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากๆ เขาถึงได้เกิดไอเดียของการทำรีโมตออฟฟิศหรือการทำงานจากระยะไกลขึ้นมา การที่เราเป็น Alpha Company ในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าเราไปถึงจุดของการไว้เนื้อเชื่อใจกับคนด้วยกันเองมากขึ้นด้วย ถ้าตอนเช้ารถติดมากอย่างที่เห็นกันคุณก็มาทำงานสายหน่อย ยิ่งถ้าคุณทำงานที่ไม่ต้องยุ่งกับใคร ทำไมคุณไม่มาตอนที่คนอื่นเขาไม่มาทำงานกัน ยกเว้นว่าจะต้องเข้าประชุมก็อีกเรื่องหนึ่ง คุณออกจากบ้านสักสิบโมงรถก็จะไม่ค่อยติดแล้ว หรือมาถึงออฟฟิศสักเที่ยงแล้วกลับบ้านสักสามทุ่มก็ไม่ต้องเครียดเรื่องการเดินทางแล้ว ลองคิดดูสิว่าในหนึ่งวันคุณเสียเวลาเดินทางไป 2 ชั่วโมง หนึ่งเดือนก็ 40 ชั่วโมง หนึ่งปีก็ 500 ชั่วโมง คุณเซฟเวลาได้เป็นร้อยชั่วโมง และไม่ใช่เรื่องของเวลาอย่างเดียว คุณยังเซฟจิตใจตัวเองจากความทุกข์ความเหนื่อยที่เราต้องโดนวันละ 2 ชั่วโมงด้วย สิ่งนี้มันกัดกร่อนหัวใจเราโดยไม่รู้ตัว Alpha ในตัวก็ไม่มี สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ Underperform ไร้ประสิทธิภาพไปโดยปริยาย

องค์กรยุคเก่าจะปรับตัวให้กลายเป็นองค์กรแบบ Alpha Company ที่ทุกฝ่ายเข้าใจได้ตรงกันได้อย่างไร

        เมื่อก่อนผมคิดว่าตัวเองแน่ตัวเองเก่งในเรื่องการบริหารงานเหมือนหัวหน้าคนอื่นๆ จนกระทั่งได้ไปเข้าคอร์สเรื่อง Unlearn ถ้าเราจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้ต้องรู้หลัก Unlearn เสียก่อน เพราะบางคนถึงจะเปิดใจรับฟังแต่ก็ยังยึดติดกับความเชื่อของตัวเองอยู่ Unlearn คือการปล่อยสิ่งที่เรายึดติดนั้นออกไปก่อน ซึ่งความเชื่อนี้บางทีก็กลายเป็นชนักติดหลังตัวเอง ยึดติดกับความสำเร็จเมื่อครั้งก่อน และบอกว่าฉันเคยทำอย่างนี้แล้วประสบความสำเร็จ 

        ให้คุณลองปล่อยความเชื่อนี้ไปก่อน เพราะต่อไปนี้ทางของเราจะมีแค่คำเดียวคือคำว่า ‘โอกาส’ ให้ปล่อยความคิดเหมือนกับตอนที่นั่งฟังเปียโนหรือฟังเพลงที่ชอบ ปรับใจของตัวเองให้เบา ค่อยๆ ซึมซับ แล้วเราจะบิดหรือเปลี่ยนความคิดได้ 

        ส่งสำคัญที่สุดในการปรับเปลี่ยนองค์กรคือ Tone at The Top คุณจะไม่มีวันเปลี่ยนองค์กรได้ถ้าผู้บริหารไม่เปลี่ยน ตอนนี้ที่ FINNOMENA มีคนระดับผู้จัดการอยู่ประมาณ 20 คน ซึ่งโทนตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเขาคิดได้องค์กรก็จะเปลี่ยน 

        การเปลี่ยนแปลงองค์กรที่อยู่กันมานานมีแค่ 3 สเต็ปเท่านั้น โดยใช้แนวคิดที่ Google เคยบอกไว้ ว่าถ้าองค์กรของเราคือผืนป่า หนึ่ง ก็ต้องเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี สอง คือปลูกต้นไม้ให้โต พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ทำให้คนเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น และสาม ระบบนิเวศที่เราต้องการคืออะไร จัดองค์ประกอบของป่าให้ดี จะให้เป็นป่าที่เป็นไม้ผลหรือป่าไม้แบบไหน นี่คือระบบนิเวศที่แข็งแรง มีการจัดการน้ำ จัดการพื้นที่ จัดการเมล็ดพันธุ์ จัดการดูแลต้นไม้ที่ดี 

เมื่อก่อนธุรกิจคือการขับเคลื่อนด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ ต่อมาก็เป็นยุคของเอสเอ็มอี และมาถึงตอนนี้คือสตาร์ทอัพ ยุคต่อไปคุณทำนายได้ไหมว่าจะเป็นอะไร

        ผมเห็นเป็นภาพกลับข้าง ผมกำลังมองเห็น tech ที่เคยเป็นสตาร์ทอัพแต่ตอนนี้มันไม่ใช่สตาร์ทอัพแล้ว เช่น 5 ตัวยักษ์ของอเมริกา ตั้งแต่ Microsoft, Apple, Amazon, Google หรือ Alphabet Inc. วันนี้ไม่ใช่สตาร์ทอัพแล้ว ตอนนี้ Google ใหญ่กว่า GE Capital, Ford และ ExxonMobil รวมกันเสียอีก สามบริษัทยักษ์ใหญ่ในอดีตของอเมริกาตอนนี้รวมกันยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของ Google หรือ Apple เลย 

        ที่ไทยก็คือกลุ่มคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี กลุ่มจิราธิวัฒน์ และก็กลุ่มเจียรวนนท์ สามเจ้าสัวนี้นับวันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าเราจะเข้าสู่ยุคที่บริษัทใหญ่ก็ยังจะใหญ่ต่อไป และพอหมดคลื่นของสตาร์ทอัพ จะเริ่มเห็นว่าทุกอย่างจะถูกปลาใหญ่กลืน 

        ส่วนที่อเมริกา 5 บริษัทรุ่นใหม่เมื่อรวมเข้ากับอาลีบาบาและเทนเซ็นต์ จะกลายเป็น 7 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ที่น่าสังเกตคือบริษัททั้ง 7 นี้เป็นคนที่ทำทางด้านเทคโนโลยีหมดเลย

         ทุกอย่างอยู่ที่คำว่า Time Sharing อธิบายง่ายๆ ว่าใน 24 ชั่วโมงของประชากรโลกเขาทำอะไร ถ้าบอกว่า 8 ชั่วโมงนอน 8 ชั่วโมงทำงาน ใครก็ตามที่แย่งเวลา 8 ชั่วโมงที่เหลือของคน 5 พันล้านคนมาได้ เขาจะกินเรียบทุกอย่างเลย ผมทำนายไว้เลยว่าเมื่อ 7 บริษัทนี้ครองโลก สตาร์ทอัพไหนที่ดูดีหน่อย โดน 7 บริษัทนี้ดูดเข้ามาแน่ๆ ซึ่งตอนนี้เขาก็ดูดตลอด อาจจะมีแถม VISA อีกรายหนึ่งที่เข้ามาเป็นระบบการเงินโลก เมื่อกลายเป็นภาพนั้นแล้ว พวกเราจะอยู่กันลำบากมาก

ลำบากอย่างไร

        ผมยกตัวอย่างคนบางคนที่ทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือน เฉลี่ยแล้วมีเงินใช้แค่วันละไม่กี่ร้อยบาท แต่ภาพของเขาในเฟซบุ๊กโคตรดีเลย ชีวิตดูหรูหรา เท่ อยู่ออฟฟิศเก๋ๆ ใส่ผ้าพันคอ แต่งตัว Office Worker แต่จริงๆ เงินจะกินข้าวยังไม่ค่อยจะมีเลย โซเชียลเน็ตเวิร์กมันหลอนทุกคนแล้วตอนนี้ 

         พอเราไปเห็นว่าเพื่อนทำสตาร์ทอัพแบบนั้นแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จ มีบริษัทดังๆ มาดึงตัวไป เราเห็นแล้วก็เป็นทุกข์ ผมเรียกสิ่งนี้ว่า Happiness Gap คือช่องว่างระหว่างความหวัง ความฝัน และความจริง ถ้ามีช่องว่างนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่คุณจะมีแต่ความทุกข์ ดังนั้น วิธี Mindfulness หรือเรื่องการเจริญสติจะมาปิดช่องว่างนี้ ทำให้เราอยู่กับความจริง ใครจะเกิดหรือใครจะตายก็คือความจริง เดี๋ยวมันก็เกิด เดี๋ยวมันก็ตาย ใครจะเป็นมะเร็งหรือเป็นอะไรจะไปทุกข์ทำไม มันคือความจริง ถ้าไปหวังมากๆ ทำไมเราจนจังอะไรอย่างนี้ ก็จะมานั่งหวังว่าเมื่อไหร่จะรวย นั่นคือสิ่งที่จะทำให้คนเป็นซึมเศร้ากันหมด

        อาชีพหนึ่งที่ไปได้ดี และจะกลายเป็นอาชีพของคนรุ่นใหม่คือการเป็นจิตแพทย์ ผมรับรองว่าทำอาชีพนี้แล้วสบาย เพราะผมเชื่อว่าเรากำลังจะมีแนวโน้มแบบประเทศญี่ปุ่น ที่อัตราฆ่าตัวตายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

ทางรอดมีบ้างไหม

        ผู้ที่อยู่รอดคือคนที่เป็นสายพันธุ์ Alpha (หัวเราะ) นั่นคือปรับกิจวัตรของตัวเองให้เป็นคนแบบ Alpha ใส่ความรู้ใหม่ๆ ลองเรียนรู้จากการลงมือทำ ปรับเปลี่ยนให้เร็ว อันไหนดีก็ทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็เริ่มพัฒนาศักยภาพตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในองค์กรที่ใช่ ถ้าคุณอยู่ใน Sunset Business (บริษัทที่มีแนวโน้มในการเติบโตลดลง) คุณก็จะตกดินแน่นอน เราต้องใส่ Alpha Life ให้ตัวเอง พัฒนาศักยภาพไปอยู่ในองค์กรที่ใช่ ถ้ายังอยู่ในองค์กรที่ไร้อนาคตยังไงคุณก็ไม่มีอนาคต 

        ซึ่งหลักคิดของ Alpha จะไปตรงกับหลักธรรมข้อหนึ่งซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุจะเรียกว่าอตัมมยตา ถ้าในภาษาบาลีเขาเรียกว่า ‘ปฏินิสสัคโค’ คือภาวะที่สลัดทิ้งจากบางอย่างไปสู่สิ่งใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเสวยสุขในทางโลก พอวันหนึ่งก็คิดว่ามันไม่ใช่ ก็สลัดทิ้งแล้วออกบวช พอออกบวชไปก็ไปอยู่กับฤๅษี ปกติฤๅษีจะเป็นสายจำศีล ปรากฏว่าพอถึงจุดจุดหนึ่งที่หยุดเพ่งสมาธิก็กลับทุกข์เหมือนเดิม สลัดทิ้งอีก เปลี่ยนอาจารย์แล้วเดินต่อ นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องทำ ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ ต้องสลัดทิ้งบางอย่าง พอไปเจอสิ่งใหม่ที่ใช่และเป็น Alpha ของชีวิตแล้ว เราต้องสลัดสิ่งที่มันไม่เข้าท่าไปสู่สิ่งที่เข้าท่ามากขึ้น กระบวนการสลัดทิ้งก็เหมือนตอนที่ท่านบรรลุและตรัสรู้ เหมือนการสลัดอะไรสักอย่างทิ้งไปเพื่อไปตรัสรู้อะไรอีกอย่างหนึ่ง

        คล้ายๆ กัน เรารู้ว่าบริษัทที่ทำอยู่ไม่เวิร์ก เรามั่นใจก็สลัดทิ้งแล้วไปสู่สิ่งที่ดีกว่า นี่คือวิวัฒนการ โลกเคลื่อนไปด้วยกฎของ ชาร์ลส ดาร์วิน คือ Natural Selection และตอนนี้โลกกำลังทำงานหนักมาก เพราะเราพ้นจากยุคอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2010 หรือทศวรรษที่แล้ว โลกเปลี่ยนไปตั้งแต่ สตีฟ จ็อบส์ คิดไอโฟนขึ้นมาตั้งแต่ 2007 หลังจากนั้นโลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ยุคอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นตัวนำโลกอีกต่อไป สตีฟ จ็อบส์ คือผู้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอลเต็มตัว ดังนั้น ยุคทศวรรษ 2010-2020 คือยุคดิจิตอล ยุคแห่งเทคโนโลยีที่แท้จริง เราจึงต้องสลัดทิ้งแนวคิดเดิมๆ และใช้ Alpha มาเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การทำงาน การลงทุน แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่อยู่รอดและมีความสงบสุข ท่ามกลางภาวะที่ท้าทายมากๆ สำหรับประเทศไทยตอนนี้

 

Alpha Pro

        เจษฎา สุขทิศ และทีมงานจาก FINNOMENA อาทิ ‘แบงค์’  - ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ Mr. Messenger และคนอื่นๆ จะมารับหน้าที่เขียนบทความเชิงพัฒนาตัวเอง ให้เราปรับเปลี่ยนเป็นมนุษย์สายพันธุ์ Alpha ทั้งในแง่ของความคิด กิจวัตรประจำวัน การทำงานร่วมกัน เทรนด์ที่น่าสนใจของบริษัทชื่อดังของโลก การพัฒนาองค์กร และการใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนชีวิต ด้วยสำนวนที่เข้าใจง่าย รับรองว่าคุณจะไม่งงงวยไปกับคำศัพท์ของนักลงทุนที่เป็นเหมือนยาขมสำหรับผู้เริ่มต้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในเรื่องการลงทุนหรือเรื่องในชีวิตประจำวันที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ adB รับรองว่าเมื่อเราปรับตัวเองเป็นมนุษย์สายพันธุ์ Alpha ได้เมื่อไหร่ จิตใจและเงินในกระเป๋าก็จะฟูขึ้นตามมาเอง 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0