ตัวเลขที่สำคัญทางการเงินอีกหนึ่งตัว ที่ถือเป็นส่วนสำคัญที่นักลงทุนระยะยาว หรือนักลงทุนสายเทรดแบบ VI หรือ(Value Investor) ให้ความสำคัญใช้ในการพิจารณาเพื่อจะลงทุนในหุ้นตัวนั้นที่นอกเหนือจากตัวเลข P/E หรือตัวเลขอัตราการเติบโตผลประกอบการทั้งรายได้และกำไร หรือแม้กระทั้งอัตราเงินปันผลตอบแทน ก็คือ P/BV
โดยค่า P/BV หรือที่เรียกกันเต็มๆว่า Price to Book Value Ratio ถือเป็นอัตราส่วนทางการเงิน ที่ใช้เปรียบเทียบระหว่าง ราคาหุ้น กับ มูลค่าทางบัญชี ซึ่งค่า P/BV มีหน่วยเป็น “เท่า” ที่คล้ายกับ P/E แต่ค่า P/BV อยู่ในระดับสูงนั้นมักจะดี จะแตกต่างจากค่า P/E ที่ควรจะต้องอยู่ในระดับต่ำถือว่าจะเป็นหุ้นที่ดี
ทั้งนี้ค่า P/BV จะบอกเราได้ว่าหุ้นที่เราจะเข้าลงทุนนั้น เรากำลังซื้อหุ้นแพงหรือถูกกว่าเจ้าของลงทุน โดย P/BV ค่ามาตราฐานที่เจ้าของลงทุนคือ 1 เท่า ดังนั้นหากเราสืบค้นข้อมูลรายละเอียดที่แจ้งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทไหนมีค่า P/BV ที่ต่ำกว่า 1 เท่า นั้นก็แสดงได้ว่า เรานั้นซื้อหุ้นได้ถูกกว่าที่เจ้าของลงทุนนั่นเอง
คราวนี้เราจะพานักลงทุนมาดูกันว่าหุ้นในกลุ่ม SET 50 ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทยที่มีค่า P/BV ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่ากันบ้างว่าเป็นใคร และประกอบธุรกิจอะไรกันบ้าง รวมถึงแนวโน้มธุรกิจยังมีความน่าสนใจให้เข้าไปลงทุนได้อยู่หรือไม่ โดยทีมงาน Wealthy Thai ได้ลองสำรวจหาข้อมูลในเว็บไซต์ https://www.setsmart.com
พบว่า มีหุ้นใน SET50 ที่ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่าจำนวน 8 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ซึ่งมี P/BV ระดับ 0.80 เท่า ,ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มี P/BV ระดับ 0.63เท่า,ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีค่า มี P/BV ระดับ 0.48 เท่า ,ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB มีค่า P/BV ในระดับ 0.44 เท่า และปิดท้ายธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ในระดับ 0.53 เท่า
ขณะเดียวกันพบว่ายังมีหุ้น ใน SET50 ที่ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี 3บริษัท ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มีค่า P/BV ที่ระดับ 0.89 เท่า,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ที่ 0.98 เท่า และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ที่มีค่า P/BV อยู่ที่ 0.90 เท่า
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าค่า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งได้ราคาถูกกว่าเจ้าของก็จริง แต่นักลงทุนจะต้องวิเคราะห์พิจารณาถึงแนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจของหุ้นที่เราจะลงทุนด้วยเช่นกันว่าจะเป็นอย่างไร มีความเหมาะสมที่เราจะเลือกลงทุนมากน้อยแค่ไหน เพราะเทรนด์ธุรกิจและโอกาสจะสะท้อนมายังผลประกอบการ ซึ่งตัวเลขทางการเงินที่สำคัญนั้นหากออกมาในทิศทางที่เติบโตก็จะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คงน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ “มากกว่าตลาด” โดยมองว่าเป็นกลุ่มที่เกาะไปกับกระแสเปิดเมืองเปิดประเทศได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหนุน PPOP ดีขึ้นและการตั้งสำรองทยอยปรับลงตั้งแต่ไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป เลือก KBANK เป็นหุ้นเด่นที่สุดในกลุ่ม โดยให้น้ำหนักกับการขยายสินเชื่อที่โดดเด่นต่อเนื่องมาหลายเดือน ขณะที่ราคาหุ้นยังซื้อขายด้วย PBV ต่ำ ราคาเป้าหมายที่ 180 บาท
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด รายงานจากบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” BBL มูลค่าเหมาะสม 158 บาท เนื่องจากการประเมินมูลค่าที่ถูก และงบการเงินที่แข็งแรง BBL เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มี loan-loss reserve to loan ratio สูงที่สุดที่ 8.2% (vs. 5.9% ค่าเฉลี่ยกลุ่ม) ทำให้มี buffer ต่อ NPL ที่ค่อนข้างดี ธุรกิจในอินโดนีเซียคาดเพิ่มกำไรในปีหน้าหลังการระบาดคลี่คลาย หาก Permata มีกำไรสุทธิดีขึ้นเราเชื่อนักลงทุนที่ขายขายหุ้นออกไปแล้วเนื่องจากการซื้อกิจการอาจปรับมุมมองราคาหุ้นขึ้น
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีมุมมอง แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส2/64 อยู่ในเกณฑ์ดี คาดประคองตัวจากไตรมาสก่อน โดยราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังขยายตัวตามอุปสงค์ ช่วยชดเชยผลกระทบจากกำไรสต็อกน้ำมันที่คาดว่าจะลดลงเพราะการเพิ่มโควต้าผลิตน้ำมันของ OPEC+ และส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนแอลงตั้งแต่เดือนพ.ค. - มิ.ย.สามารถเก็งกำไร PTTGC TOP PTT ช่วง Earnings season ได้ เพราะคาดว่างบไตรมาส 2/64 จะแข็งแกร่ง และจะมีเงินปันผลระดับดี
