โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

!! 7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลา "ขาย" สินทรัพย์ลงทุนได้แล้ว !!

Stock2morrow

อัพเดต 22 เม.ย. 2562 เวลา 08.04 น. • เผยแพร่ 22 เม.ย. 2562 เวลา 08.20 น. • Stock2morrow
!! 7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลา
!! 7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลา “ขาย” สินทรัพย์ลงทุนได้แล้ว !!

บางครั้ง การตัดสินใจ “ขาย” สินทรัพย์ในเวลาที่ถูกต้อง อาจจะสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้มากกว่าถือสินทรัพย์โดยที่ไม่ได้ทำไรกับมันเลย

การขายสินทรัพย์เมื่อนักลงทุนเกิด Panic นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องนัก ดังนั้น “การหาเหตุผลที่ดี” เพื่อใช้ในการตัดสินใจขายสินทรัพย์จากการลงทุน นั่นจึงจะเป็นวิธีของนักลงทุนที่มีเหตุผล ในบทความนี้ ได้รวบรวม “7 ตัวชี้วัด”ที่อาจจะเป็นสันญาณที่บ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ควรจะ “ขาย” สินทรัพย์นั้นๆ แล้ว มีอะไรกันบ้างไปดูกัน

 

1. สินทรัพย์ไม่ได้สร้างผลตอบแทนได้เหมาะกับความต้องการของคุณ

เมื่อคุณตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ แล้ว มันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องเข้าใจบทบาทหรือลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ คุณต้องคิดว่าสินทรัพย์นั้นเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนใน “ระยะสั้น” หรือ “ระยะยาว” ของคุณหรือไม่หากสินทรัพย์นั้นไม่เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของคุณแล้ว จึงตัดสินใจ “ขาย” ออกจาก Portfolio ของคุณซะ!! และไปซื้อสินทรัพย์ที่มีลักษณะเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของคุณดีกว่า ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินก้อนหนึ่งที่สามารถจะลงทุนได้ในระยะเวลา 3 เดือน คุณก็ไม่ควรจะนำเงินจำนวนนี้ ไปลงทุนซื้อที่ดินหรือหุ้น อาจจะไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือบัญชีสะสมทรัพย์จะดีกว่า

 

2. สินทรัพย์มีมูลค่าเกินความเป็นจริง (Overvalued)

หากคุณได้รับข้อเสนอในการขายอย่างดีเยี่ยม มันก็ถึงเวลาที่คุณควรจะขายสินทรัพย์นั้นออกไป ซึ่งสินทรัพย์นั้นอาจจะมีมูลค่ามากพอที่คนอื่นๆ เต็มใจที่จะทุ่มซื้อมัน นักลงทุนที่มีเหตุผล (Rational Investors) มักจะต้องมีนิสัยที่มองสินทรัพย์ว่าขณะนั้นสินทรัพย์มีมูลค่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ ในกรณีนี้ หากเห็นว่าสินทรัพย์นั้นมันมีราคาสูงเกินไป หรือ “Overvalued” กว่าที่มันควรจะเป็นก็สามารถเป็นเหตุผลที่ดีในการตัดสินใจ “ขาย” เพื่อล็อคกำไรของคุณไว้ ขณะเดียวกัน คุณก็สามารถมองหาซื้อทรัพย์สินที่ที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือ Undervalued วิธีนี้จึงจะตรงกับวิธีการที่ว่า “ซื้อ” ถูก และ “ขาย” แพง

 

3. ปัญหาด้านสภาพคล่องของเงินสดเป็นสันญาณที่ไม่ดี

อีกหนึ่งสันญาณเตือนนั้นคือปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการ หรือ Cash Flow Problem เมื่อไรที่ธุรกิจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน นั่นเป็นสันญาณเตือนนักลงทุนว่าบริษัทกำลังเดินผิดทาง กระแสเงินสดที่ติดลบ หมายถึงว่า “ต้นทุน” ในการดำเนินธุรกิจนั้นสูงกว่า “รายได้” ที่ได้รับ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเวลาที่นักลงทุนควร“ขาย” สินทรัพย์นั้นออกไปก่อน และควรอยู่ห่างๆ สินทรัพย์นั้นไว้ จนกว่า ธุรกิจนั้นจะสามารถสร้างกระแสเงินสดเป็นบวกได้

 

4. เมื่อถึงเวลา Rebalance พอร์ตการลงทุน

เริ่มต้นจากประเภทสินทรัพย์ที่คุณลงทุนไปว่าอยู่ในประเภทไหนบ้าง จากนั้นมองดูว่ามันเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณหรือไม่ หากมองไปแล้วพบว่า มีมูลค่าของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมีสัดส่วนมากจนเกินไป ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายให้กับ Portfolio ของคุณได้ หากราคามีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงลบ เมื่อถึงเวลานั้น คุณควรตัดสินใจ“ขาย” หรือลดปริมาณสินทรัพย์นั้น และนำเงินที่ได้จากการขาย ไปหาสินทรัพย์ที่มีราคาถูกกว่าในสินทรัพย์ประเภทอื่น เพื่อเป็นการปรับสมดุล Portfolio ให้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนและรักษาระดับผลตอบแทนที่ต้องการไว้ โดยทั่วไปแล้ว การปรับ Portfolio จะปรับเพียงปีละหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น

 

5. พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงไป

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ คือการทำให้นักลงทุนสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์จากการลงทุน ถ้าคุณลงทุนโดยตัดสินใจเพียง “รอขายเมื่อราคาขึ้น” หรือ “จับจังหวะของตลาด” เท่านั้น มันอาจจะทำให้คุณต้องขายสินทรัพย์ในเวลาที่ผิดได้ ดังนั้น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การดู Price/Earning Ratio หรือ ดูงบการเงิน เป็นต้น นอกจากนั้น ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ซึ่งมีผลกระทบกับกิจการ จนส่งผลต่อผลประกอบการของกิจการ หากคุณไม่แน่ใจว่า บริษัทที่คุณลงทุนไปนั้น ไม่สามารถปรับตัวหรือเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ มันก็อาจจะถึงเวลาที่ต้อง “ขาย” สินทรัพย์นั้น และไปลงทุนกับกิจการที่มีพื้นฐานที่ดีและมีความสามารถปรับตัวเข้าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ดีกว่า

 

6. อย่าเก็บทรัพย์สินที่ไม่ได้สร้างประโยชน์

ในบางครั้งการขายสินทรัพย์อาจจะไม่ได้กำไรเสมอไป การยอมขาดทุนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีเพื่อใช้ในการวางแผนการลงทุนของคุณได้ โดยกลยุทธ์นี้เป็นวิธีที่เพื่อต้องการหยุดความเสียหายในพอร์ตการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเลือก “ขาย” สินทรัพย์ที่ขาดทุนและไม่สามารถผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายการลงทุนของคุณเป็นระยะเวลานาน และบางครั้งการขายสินทรัพย์อาจจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์ทางด้านภาษีอีกด้วย

 

7. เมื่อรู้ว่าทำผิดไปแล้ว

ถ้าคุณเริ่มรู้ตัวว่าคุณได้ตัดสินใจสำหรับการซื้อสินทรัพย์หนึ่งๆ ผิด หรือเมื่อรู้ว่าสินทรัพย์นั้นไม่ได้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ หรือคุณรู้ว่าเข้าใจผิดอะไรสักอย่างในสินทรัพย์นั้นหลังได้ซื้อสินทรัพย์นั้นไปแล้วนั่นเป็นสัญญาณให้คุณต้องตัดสินใจ “ขาย” สินทรัพย์นั้นได้แล้ว ถึงแม้ว่าบางคุณ คุณอาจจะต้องตัดสินใจขายทั้งที่ยังขาดทุนอยู่ก็ตาม ไม่ว่ายังไงก็ตาม หากรู้ว่าตัดสินใจซื้อที่ผิดพลาดไปแล้ว อย่าปล่อยให้สินทรัพย์นั้นอยู่ในพอร์ตของคุณต่อไป และเมื่อไรที่ตัดสินใจจะขายสินทรัพย์ คุณต้องวิเคราะห์สถาณการณ์รวมถึงหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจขายนี้จะทำให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนของคุณ

 

Refer : https://finance.yahoo.com/news

stock2morrow

ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0