โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

6 เคล็ดลับมนุษย์ออฟฟิศใช้ชีวิตยังไงให้ Productive

Mango Zero

เผยแพร่ 14 พ.ย. 2562 เวลา 11.00 น. • Mango Zero
6 เคล็ดลับมนุษย์ออฟฟิศใช้ชีวิตยังไงให้ Productive

หนึ่งในความฝันของคนรุ่นใหม่วัยทำงานคือการใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ งานก็ไม่ติดขัด ชีวิตจัดสรรได้ สุขภาพร่างกายดี มีเวลาไปเที่ยวตามใจ และยังสามารถพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปได้อีก วิถีชีวิตที่แสนเพอร์เฟคแบบนี้คือการวิถีการใช้ชีวิตอย่าง Productive ที่หลายคนใฝ่ฝัน 

ถ้าอยากจะมีชีวิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำยากเลย แค่เปลี่ยนวิถีชีวิต ปรับวิธีคิดบางอย่าง แล้วทำประจำอย่างสม่ำเสมอคุณก็เป็นคนที่ Productive ได้ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เรามี 6 เคล็ดลับที่จะเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ  ให้กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ใช้ชีวิตได้อย่าง Productive

นอนให้ได้ 6 – 8 ชั่วโมงเพื่อความสดชื่น 

สิ่งที่ทำให้สมองของเราสดชื่น พร้อมสำหรับการทำงานในทุกๆ เช้าเมื่อตื่นนอน ก็คือการ‘นอน’ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการพักผ่อนของคนทั่วไปจะอยู่ระหว่าง6-8 ชั่วโมง และควรเข้านอนไม่เกิน4-5 ทุ่ม เพราะเวลาหลังจากนั้นเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งGrowth hormones ออกมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

สำหรับคนที่อยากลองนอนให้ตรงเวลา และตื่นในเวลาที่กำหนด เราสามารถฝึกได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากพยายามนอนให้ตรงเวลา ตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาที่อยากจะตื่นและห้ามกด Snooze ด้วย (ใครกด Snooze ส่วนใหญ่นอนยาว…ตื่นอีกที 1 ชั่วโมงต่อมา) เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆ และทำอย่างต่อเนื่อง 7 – 10 วันร่างกายจะมีการปรับนาฬิกาชีวิต (Body Clock) ให้เรากลายเป็นคนที่ง่วงเมื่อถึงเวลานอน และตื่นในเวลาที่เคยตื่นแบบอัตโนมัติ

หากฝึกจนเป็นนิสัย เราจะพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ หากเรานอนช้ากว่านั้นร่างกายจะไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างตรงเวลาร่างกาย Growth hormones ที่ควรจะหลั่งออกมาในระหว่างที่เรานอนก็ไม่สามารถทำได้

ทำให้ร่างกายไม่เกิดกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง รวมถึงการนอนไม่พอก็จะทำให้สมองทำงานช้า มีการเบลอ และง่วงหาวนอนทั้งวัน ไม่สดชื่นสดใส สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราไม่สามารถมีสมาธิกับการทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น

ตื่นเช้าขึ้น 1 ชั่วโมงเพิ่มเวลาทำประโยชน์

การที่เราตื่นเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงกว่าเดิมปกตินั้นจะทำให้เราได้เวลาเพิ่มขึ้นมาในชีวิต อาจจะดูเหมือนว่าแค่ 1 ชั่วโมงมันไม่มากพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วช่วงเวลาตอนเช้านี่แหละ สามารถทำให้เรา Productive ได้เพราะสมาธิ และพลังของเราถูกชาร์จมาอย่างเต็มที่ พร้อมรับกับทุกสิ่งที่จะเข้ามาในวันนี้ การตื่นเช้ากว่าเดิม 1 ชั่วโมงเราสามารถทำอะไรได้บ้างให้เกิดประโยชน์ ตัวอย่างเช่น

  • จัดการงานค้างตั้งแต่เมื่อวานให้จบในวันนี้
  • ทำอาหารเช้ามื้อง่ายๆ แต่มีประโยชน์กินเอง
  • ออกกำลังกายอย่างวิ่ง ว่ายน้ำ หรือฟิตเนส
  • ทบทวนตารางงานหรือสิ่งที่ต้องทำในวันนั้น
  • อ่านหนังสือที่ซื้อมา
  • เขียนบล็อกส่วนตัว
  • ฯลฯ

ทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมที่ล้วนช่วยพัฒนาศักยภาพ รวมถึงพัฒนาตัวเองทั้งนั้น หากคุณตื่นเวลาเดิม สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำ ซึ่งการจะตื่นเร็วกว่าเดิม 1 ชั่วมงให้มีคุณภาพก็ต้องย้อนกลับไปเรื่องการนอนหลับให้เพียงพอด้วย ถ้านอนหลับเพียงพอ ก็ไม่ต้องกลัวว่าตื่นไวจะทำให้คุณไม่มีแรง

ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเมื่อจำเป็น

บางคนทำงานอยู่ดีๆ ไลน์เด้ง อ่ะ…เช็กไลน์สักหน่อย สักพักเฟซบุ๊กมีเม็ดแดงๆ แจ้งเตือนมา อ่ะ…ดูสักหน่อย แวะเปิด IG เช็คสักทีนึง เช็คไปเช็คมา ถ่ายรูปกาแฟที่ซื้อมาแต่งภาพอีกครึ่งชั่วโมง ลงภาพไป อีก 10 นาทีมาเปิด IG เช็คเรทติ้งหน่อยว่ามีคนไลก์กี่คน  โอ๊ะ!  แท็กมาในทวิตเตอร์ คุยสักหน่อย คุยเสร็จกำลังจะนั่งทำงานต่อ เอ้า!  ไลน์เด้งมา สุดท้ายวนกลับไปเป็นลูปนรกที่งานไม่เดินไปไหนงานก็ไม่เสร็จ ทีนี้พอจะเห็นภาพแล้วเนอะว่าทำไมงานถึงไม่เสร็จ…

อาการเสพติดโซเชียลนั้นสอดคล้องกับงานวิจัย ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ระบุว่าคนใช้เน็ตวันละ 10 ชั่วโมง 5 นาที และกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง พวกเขาใช้เวลาไปกับการเล่นโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ซึ่งนี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น แต่หากวัดการใช้งานแต่ละคนของทุกคนจริงๆ มากกว่านี้แน่นอน

หากเราสามารถลดการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คลงได้ ชีวิตเราจะ Productive มากกว่านี้ ซึ่งมีหลายวิธีที่ช่วยเราได้ อาทิใช้แอปล็อคไม่ให้เราเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์คตามเวลาที่กำหนด, จำกัดเวลาการเล่นมือถือ, ปิดการแจ้งเตือนทุกอย่างยกเว้นแอปที่สำคัญจริงๆ ดูข้อมูลการใช้สมาร์ทโฟนของตัวเองในแต่ละสัปดาห์เพื่อจะได้รู้ว่าเราลดการเสพติดโซเชียลได้จริงไหม เมื่อรู้ว่าตัวเองใช้โซเชียลเกินลิมิท คราวนี้เราก็คงรู้แล้วว่าใช่ไหมว่าทำไมงานไม่เดิน..ถ้าอยากให้งานเดินต้องทำอย่างไร

ที่มา : ETDA

ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 – 4  วันต่อสัปดาห์

ทุกคนล้วนอยากมีร่างกายที่แข็งแรง สุขภาพดี จิตใจแจ่มใสทั้งนั้น ซึ่งการที่จะทำให้เราได้สิ่งนั้นตอบแทนมาก็คือการ ‘ออกกำลังกาย’ โดยวิธีการออกกำลังกายที่ได้ผลที่สุด และส่งผลดีต่อสุขภาพของเรามากที่สุดก็คือควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป (อย่างต่อเนื่อง) โดยเป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายได้ประโยชน์คือ

  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องทุกส่วน
  • หัวใจทำงานต่อเนื่องเบาๆ ระหว่างโซน Zone 2 – 3 (หัวใจเต้นไม่เกิน 70% ของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
  • ใช้งานร่างกายในแบบพอดี ไม่หักโหม

สำหรับกิจกรรมในการออกกำลังกายก็มีให้เลือกมากมายตามความถนัดและความชอบอาทิ วิ่ง, ฟิตเนส, โยคะ, ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกกำลังกายที่สุด แม้ สสส. จะบอกว่าช่วงเช้า จะดีที่สุดเนื่องจากอากาศดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลจาก สสส. บอกว่าเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับแต่ละคน ควรออกกำลังกายในเวลาที่เราพร้อมมากกว่า

ข้อดีของการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงคือเราจะมีความพร้อมของร่างกายในการทำงานและการใช้ชีวิต รวมถึงสภาพจิตใจที่ดี เพราะการออกกำลังกายช่วยทั้งเรื่องร่างกายแข็งแรงและจิตใจที่แข็งแรง เมื่อร่างกายสมบูรณ์พร้อมก็ไม่ต้องเสียเวลาปวดหัวกับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองที่ไม่พร้อมอีกต่อไป เจออุปสรรคอะไรก็ผ่านได้แบบสบาย

ที่มา : สสส.

ฟัง Podcast เพื่อเพิ่มความรู้

การพัฒนาตัวเองที่ทำได้ง่ายที่สุดอีกวิธีหนึ่งคือการเสพความรู้ผ่านประสบการณ์ของผู้อื่นที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของ ‘อ่านบทความออนไลน์’ ‘หนังสือ’ และ ‘พอดแคสต์’ ทว่าวิธีที่เหมาะสมกับคนยุคนี้ที่มีเวลาน้อยลง แต่อยากพัฒนาตัวเองก็ควจะไม่พ้นพอดแคสต์ พอดแคสต์คืออาหารสมองชั้นดีที่สามารถให้เราเสพได้ในช่วงระหว่างที่เรากำลังทำกิจกรรมอื่นด้วยได้อย่างไม่ติดขัด และสอดคล้องไปกับการใช้ชีวิตประจำวัน

จากรายงานข้อมูลล่าสุดของ Adobe Analytics เกี่ยวกับเทรนด์การฟังพอดแคสต์ในปี 2019  ของชาวอเมริการะบุว่าปัจจุบันมีคนฟังพอดแคสต์มากขึ้นและกิจกรรมที่พวกเขาทำระหว่างฟังพอดแคสต์แบ่งเป็น

  • ฟังพอดแคสต์ระหว่างเดินทางหรือระหว่างทำงาน 52%
  • ฟังพอดแคสต์ระหว่างขับรถ 42%
  • ฟังพอดแคสต์บนเครื่องบิน 18%
  • ฟังพอดแคสต์ระหว่างพักร้อน 16%
  • ฟังพอดแคสต์ระหว่างออกกำลังกาย 16%

ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาใช้เวลาไปกับการเลือกฟังคอนเทนต์พอดแคสต์ที่ทั้งให้ความรู้ และความบันเทิง โดยการฟังพอดแคสต์สามารถช่วยให้เราใช้เวลาว่างในระหว่างที่เราใช้สายตา หรือสมาธิไปกับการทำซึ่งอื่นเพื่อเพิ่มทักษะในสิ่งที่เราสนใจ อาทิการเงิน การลงทุน การพัฒนาความรู้  การพัฒนาศักยภาพการทำงาน และอีกมากมายได้ง่ายๆ เพียงกดฟังในเวลาว่าง

ที่มา : Thumbsup 

เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เลือกทานผักให้ได้ 400 กรัมต่อวัน 

กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และควรกินผักให้ครบ ซึ่งหากศึกษาตามตำราสุขศึกษาที่เรียนมาตั้งแต่ ป.4 และ องค์การอนามัยโลกบอกว่าเราควรกินผัก 400 กรัมต่อวัน หรือเกือบครึ่งกิโลกรัมเพื่อให้ร่างกายได้แร่ธาตุ ได้วิตามิน แร่สาร สารต้านอนุมูลอิสระ และคุณประโยชน์อื่นๆ ในผัก การกินผักไม่ใช่แค่ได้ประโยชน์แค่เท่านั้น

แต่ยังเหมาะกับคนที่อยากดูแลรูปร่าง อยากลดไขมัน อยากเติมสิ่งดีๆ ให้ร่างกาย เพราะเมื่อเรากินดี เราก็สุขภาพดี หลับดี เวลาทำงานหรือใช้ชีวิตก็มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งผักแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่ต่างกันได้แก่

  • ผักใบเขียว : สาร Chlorophyll ในผักใบเขียวมีทั้งแร่ธาตุ วิตามิน ไฟเบอร์สูง รวมถึงมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระตัวการที่ทำให้เกิดมะเร็ง
  • ผักและผลไม้สีขาว : ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิต จากสาร Allicin ที่อยู่ในผักและผลไม้
  • ผักหรือผลไม้สีแดง : มีสาร Lycopene ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทานในร่างกาย มีสารชะลอวัยและช่วยให้เซลล์ในร่างกายแข็งแรง
  • ผักและผลไม้สีม่วงแดง หรือม่วงน้ำเงิน : ลดการเกิดโรคหัวใจ ลดอาการเสื่อมของเซลล์ และป้องกันเส้นหลอดอุดตัน เพราะมีสาร Anthocyanin
  • ผักและผลไม้สีเหลือง : มีสาร Lutien ช่วยลดความเสื่อมของประสาทตา
  • ผักและผลไม้สีเหลืองส้ม หรือส้มแดง  : ด้วยสาร Carotenoids ในผักและผลไม้ที่เรากินเข้าไปนั้นจะช่วยให้ลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ  รวมถึงมีสรรพคุณคล้ายกับ Lutien  คือบำรุงสายตาและจอประสาทตาด้วย

แต่…พอมานึกภาพดูแล้วในแต่ละวันคนเรากินผักไม่ถึง 400 กรัมแน่นอน และเราเองก็คงไม่รู้ว่าผักที่เรากินทั้งวันมันครบหรือไม่ครบ แต่หากเรากังวลว่าวันนี้เรากินผักครบแล้วหรือยัง ตัวช่วยที่น่าสนใจคือการดื่มยูนีฟ 100% โฉมใหม่ ที่มีส่วนผสมเป็น Superfood 3 รสชาติ ดื่มง่าย กินเมื่อไหร่ก็ได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

  • ยูนิฟ100% รสผักใบเขียวผสมบร็อคโคลี่ ช่วยขับสารพิษ และระบบขับถ่าย
  • ยูนิฟ100% รสมิกซ์เบอร์รี่ผสมโกจิเบอร์รี่ มีส่วนช่วยในการมองเห็น และบำรุงสายตา
  • และรสชาติใหม่! ยูนิฟ100% รสบีทรูทผสมแครอทม่วง มีส่วนช่วยในการบำรุงผิว และช่วยควบคุมความดัน

ยูนิฟ100% 200 ml. มีปริมาณผักผลไม้ประมาณ200 กรัมต่อกล่อง  ดังนั้น ในวันที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองหรือรู้สึกว่ากินผักได้น้อย ก็สามารถเติมผัก เติมสุขภาพดีง่ายๆ ด้วยยูนิฟ น้ำผักผลไม้100% ได้ที่7-eleven สาขาใกล้บ้าน 

สำหรับคนที่กินผักไม่พอก็สามารถเติมผักง่ายๆ ได้ทุกวัน ด้วยยูนิฟ 100% โฉมใหม่ หาซื้อง่ายและกินง่ายด้วยนะ 😀

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0