เราต่างเคยถูกปฏิเสธมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะในที่ทำงาน หรือในชีวิตส่วนตัว
แน่นอน การถูกปฏิเสธไม่เคยนำพาซึ่งความรู้สึกดีมาด้วย
แต่เมื่อต้องเจอสถานการณ์แบบนั้นแล้ว เราจะใช้วิธีคิดยังไง
ให้เรากลับมาลุกขึ้น แล้วเปลี่ยนคำพูดเหล่านั้นในหัวเราได้บ้าง
1. Don’t take it personally.
หลายครั้งที่เราถูกปฏิเสธ สิ่งที่เขาบอก
สิ่งที่เขาพูด บางครั้งมันไม่ใช่สิ่งที่หมายถึงตัวตนของเราที่แท้จริง
บางครั้งมันเป็นเพียงแค่ ผลงาน
หรืออะไรก็ตามที่เขาเอามาตัดสิน
แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่า เรา ที่หมายถึงตัวเรา
มันไร้ค่า หรือด้อยค่าลง
บางทีสิ่งที่เขาทำให้เรารู้สึกแย่
อาจไม่ใช่คำว่า “ไม่” ของเค้าเหล่านั้น
แต่มันเป็นคำพูดแย่ๆ ที่เราพูดกับตัวเองมากกว่า
มัน “ไม่” ก็จริง
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า มัน “จบ” หรือมัน “พัง” แล้วรึเปล่า
ยังมีหลายๆ คนที่ต้องเจอกับการถูกปฏิเสธแบบนี้เหมือนกับเรา
อย่าเก็บมาคิดซะมากมาย จนทำอะไรต่อไปไม่ได้
2. อย่าไปโฟกัสแต่สิ่งที่เราพลาด
มองหาโอกาสที่จะพัฒนา
และความเป็นไปได้ที่จะทำให้มันสำเร็จในครั้งต่อไปจะดีกว่า
เวลาที่ไปสัมภาษณ์งาน ไปขายงาน
หรือไปทำอะไรก็แล้วแต่ที่ได้รับการปฏิเสธกลับมา
ลองฟัง feedback ที่เขาให้มา แล้วลองหาทางปรับปรุง
เพื่อที่จะเข้าใกล้คำว่าสำเร็จเข้าไปอีก
บางทีเราพลาด ก็ต้องยอมรับว่า
เพราะเราไม่ได้วางแผนมาดีพอ
เราพลาดเพราะเราไม่ได้เตรียมข้อมูล
มันไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้ดีพอ
แต่มันคือเราเตรียมตัวมาไม่ดีพอมากกว่า
3. อย่าหยุดที่จะออกไปเคาะประตูที่เรียกว่าโอกาส
ไม่ใช่แค่ประตูบานแรกที่เราไปเคาะเรียก
แล้วเขาจะขานรับ
เคาะไปแล้วร้อยบาน อาจจะมีสักบานที่เปิดออก
เคาะไปแล้วสองร้อยบาน อาจจะมีสักสองสามบานที่เปิดต้อนรับ
เคาะไปแล้วสามร้อยบาน
อาจจะมีสามสี่บานที่แง้มออกมาแล้วทำหน้าสงสัย
แต่ถ้าเรากลัวการถูกปฏิเสธ
มันจะทำให้เราไม่กล้าที่จะเคาะประตูบานต่อไป
แล้วพอเราไม่กล้าเคาะ มันก็จะหยุดเราในการที่จะได้เข้าไปในห้อง
ในบ้าน ในความสำเร็จที่รออยู่ข้างหลังประตูบานนั้น
แต่ถ้าไม่ทำ
นั่นก็แปลว่า มันจบลงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
4. การถูกปฏิเสธคือการทำให้เราหันมามองสิ่งที่เราทำอยู่ ในมุมมองใหม่
เราอยากไปในเส้นทางที่เราต้องการ วางแผน
และคิดว่ามันจะเป็นไปในทิศทางนี้แหละ
แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เราคิด
อาจจะบล็อกเราจากเส้นทางที่จะไปสู่มันที่แท้จริง
เรามองหาเส้นทาง ถนน ที่จะพาเราไปถึงความสำเร็จ
เส้นทางที่เราคิดไปเองว่า
เออ ดูหน้าตา ข้างทาง มันน่าจะพาเราไปสู่ภูเขาหรือทะเลที่เราอยากไปได้
แต่ความจริงจะบอกกับเราด้วยการถูกปฏิเสธว่า
เส้นทางที่เราคิดไว้ อาจไม่ได้นำพาไปสู่ความสำเร็จก็ได้
ความจริงจะบอกกับเราว่า ไม่มีใครที่จะได้เดินในทางที่คิดไว้
แล้วประสบความสำเร็จ
การถูกปฏิเสธทำให้เราต้องกลับมาคิดใหม่ว่า
จริงๆ แล้วเส้นทางที่เราควรเดิน มันคือทางไหนกันแน่
ทางที่คิด ที่น่าเดิน แต่ไปไม่ถึง หรือทางที่เดินลำบาก
แต่จะพาเราไปถึงแน่นอน
5. การแก้แค้น ไม่ใช่คำตอบของการถูกปฏิเสธ
ผมเคยเป็นนะ หลายครั้งที่ถูกปฏิเสธ เราจะรู้สึกแบบ
คอยดูนะ จะทำให้ดู อะไรแบบนี้
จริงๆ แล้ว ถ้าเราคิดแบบนั้น
มันเหมือนว่า สุดท้ายแล้วเรากำลังถูก
ใครสักคนมาควบคุมความคิด ความสำเร็จของเรา
อย่าพยายามสำเร็จเพื่อเอาชนะใครสักคนที่เคยปฏิเสธคุณ
แต่พยายามที่จะให้ตัวเองสำเร็จ เพื่อสิ่งที่เราต้องการดีกว่า
เพราะหลายครั้งที่เจอคนปฏิเสธหรือดูถูก
เราก็พยายามที่จะเอาชนะเขา แก้แค้นเขาด้วยการทำทุกอย่างให้ดี
เอาจริงๆ มันก็ดีแหละที่เหมือนเรามีแรงฮึด
แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่า เพื่อที่จะให้เขาเห็นว่าเราทำได้จริงๆ ใช่ไหม
เราถึงจะมีความสุข จะรู้สึกว่า เราสำเร็จแล้วจริงๆ
บางทีคนที่พูด
พูดแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรต่อแล้ว
เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่ทำไมเราต้องไปเอาคำพูดว่า ไม่
การปฏิเสธของพวกเขามาควบคุมตัวเราว่า
เราต้องทำเพื่อลบคำเหล่านั้นให้ได้
เพราะสุดท้ายพอเราชนะ หรือแก้แค้นเขาได้จริงๆ
พวกเขาก็ไม่ได้ยินดีอะไรไปกับเราด้วยเลย
6. การถูกปฏิเสธจะนำพาสิ่งที่ดีกว่ามาด้วย
ฟังดูอาจเข้าใจยากสำหรับคนที่เพิ่งถูกปฏิเสธมา
แต่นี่คือความจริงที่ว่า เมื่อคุณถูกปฏิเสธจากสิ่งที่คุณชอบ
คุณจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น
ถ้าคุณถูกปฏิเสธกับบางสิ่งที่คุณชอบ แล้วคุณหยุดที่จะทำมันต่อ
นั่นหมายความว่า คุณไม่ได้มี Passion ไม่ได้มีความต้องการมันมากพอ
มันสำคัญมากเลยนะในการที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นหลังจากที่ถูกปฏิเสธ
ซึ่งอันนี้มันจะเป็นคนละเรื่องกับการถูกปฏิเสธในความสัมพันธ์
ผมกำลังพูดถึงในมุมมองของหน้าที่การงาน
ความฝัน ความสำเร็จที่เราตั้งเป้าเอาไว้ ความชอบ
บางคนอยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง
เพียงเพราะว่าอยากได้ใช้คำว่าเป็นนักเขียน
บางคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ
เพียงเพราะว่าอยากบอกคนอื่นว่าเป็นเจ้าของกิจการ
บางคนอยากเป็นหมอ
เพียงเพราะอยากใช้คำว่า เราเป็นหมอนะ เวลาเจอคนอื่น
แต่จริงๆ แล้วกว่าจะได้เป็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่คุณฝัน
คุณหวังไว้ มันมีขั้นตอนต่างๆ มากมาย
ที่เราจะต้องฟันฝ่า ต้องล้ม ต้องลุก
ซึ่งเราเองก็ต้องอดทน และพยายามที่จะทำมันทุกขั้นตอน
ผ่านมันทุกอย่าง เพื่อที่จะได้เป็นอย่างที่เราอยากจะเป็น
ไม่ว่าจะถูก ใครกี่คน บริษัทกี่ที่ ปฏิเสธมาแล้วกี่ร้อยกี่พันครั้ง
อย่าลืมว่า
ไม่มีใครที่ไม่เคยถูกปฏิเสธ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ
เมื่อถูกปฏิเสธแล้ว เราใช้ชีวิตตัวเองต่อไปอย่างไร
พัฒนาตัวเองต่อไป แก้ไข ปรับปรุงตัวเองยังไง
เพื่อให้ไปอยู่ในจุดที่ดีกว่า
