คุณอาจรู้จักเพื่อนอย่างน้อยหนึ่งคนที่ชอบเขียนไดอารี่ เขียนบันทึกเพื่อขอบคุณสิ่งดีๆ หรือนิยมจดบันทึกสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว แล้วการเขียนสามารถทำให้สุขภาพจิตของคนเราดีขึ้นได้ไหม? คำตอบคือได้ การเขียนเป็นวิธีที่ง่ายและคุ้มค่าบวกกับคุณประโยชน์ดีๆอีกมากมาย และข้อดีที่สุดของมันคือคุณสามารถทำเมื่อไหร่ก็ได้แถมยังพกพาไปได้ทุกที่ ประเด็นคือคนส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการเขียนบำบัดเนื่องจากทุกคนล้วนมีปัญหากันทั้งนั้นและการจดบันทึกสิ่งต่างๆก็จะช่วยสร้างความเข้าใจว่าคุณควรตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณอย่างไร อยากลองเขียนบำบัดดูบ้างไหม? หากคุณกำลังต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงทางที่ดีคุณควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเปลี่ยนวิธีรักษา แต่ถ้าคุณพร้อมแล้วก็หยิบกระดาษกับปากกามา ง่ายๆ แค่นี้อง!
1. การเขียนแบบอิสระ
การเขียนบำบัดประเภทนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา คุณแค่ต้องเขียนสิ่งที่นึกออกในขณะนั้นลงไป เช่น ภาพ ความคิด เหตุการณ์ การมองเห็น กลิ่น หรือเสียง และไม่ต้องกังวลถ้ามันดูไม่มีเหตุผล เวลาที่คุณย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่คุณเขียนบนกระดาษคุณจะวาดภาพความรู้หรือมุมมองบางส่วนออกมาได้
2. การเขียนเพื่อระบายความรู้สึก
การเขียนบำบัดประเภทนี้จะช่วยให้เรารับมือกับเหตุการณ์หรือความรู้สึกในแง่ลบได้ อย่างไรก็ตามจงจำไว้ว่าหากเหตุการณ์นั้นยังใหม่อยู่และคุณยังรู้สึกเหนื่อยเกินไปก็อาจเร็วเกินไปที่จะใช้วิธีเขียนบำบัด แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะลองเขียนเพื่อระบายความรู้สึกแล้วก็ควรเริ่มจากการจดบันทึกความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นลงไปบนกระดาษ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง คุณอาจเขียนสัก 5 นาทีหรือ 20 นาทีเพื่อให้คุณหยุดคร่ำครวญถึงมันและสุขภาพก็จะดีขึ้น เช่น
- ระดับความดันโลหิตลดลง
- ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและอาการเจ็บปวดลดลง
- อาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าลดลง
- การรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับบาดแผลทางใจและปัญหาด้านพฤติกรรมของเด็กที่มีภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรงเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
- อาการต่างๆของโรคทุเลาลงรวมถึงผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนด้วย
- อาการต่างๆของผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งเต้านม หรือโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
- การทำงานของปอดดีขึ้นในผู้ป่วยโรคหืดหอบ
- การทำงานของภูมิต้านทานดีขึ้น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่เขียนระบายความรู้สึกในแง่ลบจะมีปริมาณ CD4 สูงขึ้น ขณะที่ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีก็มีการผลิตแอนติบอดี้มากขึ้นด้วย
3. การเขียนเรียงความเชิงสะท้อนความคิด
ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณมีส่วนร่วมในเหตุการณ์หนึ่งก็ลองจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เรียนรู้และช่วยให้คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทางที่ดีควรจดบันทึกทันทีหลังเกิดเหตุการณ์นั้นอย่าปล่อยให้นานเกินไปจนจำรายละเอียดต่างๆไม่ได้! ข้อดีอีกอย่างของการเขียนเรียงความเชิงสะท้อนความคิดคือเมื่อคุณมองข้ามเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปแล้วคุณก็จะได้รับมุมมองใหม่ๆและเห็นว่าคุณมาไกลแค่ไหนแล้ว การเขียนเรียงความเชิงสะท้อนความคิดมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์และการสะท้อนความคิดด้วยตัวเอง
4. การเขียนเรียงความเพื่อแสดงความขอบคุณ
คุณควรชะลอทุกอย่างให้ช้าลง หายใจลึกๆและถามตัวเองว่าคุณจะเขียนคำขอบคุณเรื่องอะไร อย่างน้อยคุณควรเขียนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ความรู้สึกขอบคุณจะทำให้ส่วนหน้าของเปลือกสมองและคอร์เท็กซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้าตรงกลางทำงานซึ่งสมองส่วนดังกล่าวมีส่วนเชื่อมโยงความเข้าใจทางศีลธรรม ดุลยพินิจ และทฤษฎีจิต ดังนั้นการเขียนเรียงความเพื่อแสดงความขอบคุณจึงส่งผลกระทบในแง่บวก นอกจากนี้การวิจัยยังพบอีกว่าคุณจะนอนหลับได้ดีขึ้น ใส่ใจสุขภาพของตัวเอง และช่วยลดอาการซึมเศร้า
5. การเขียนจดหมาย
คุณเคยต้องการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นรู้แต่ไม่สามารถทำได้หรือไม่คิดที่จะทำบ้างไหม? คุณสามารถเขียนทุกอย่างที่ต้องการพูดลงไปในจดหมายและคุณก็ไม่จำเป็นต้องส่งมันไป การบำบัดประเภทนี้จะช่วยให้คุณปล่อยวางภาระทุกอย่างที่กำลังแบกอยู่ได้
6. การเขียนบทกวี
เมื่อเขียนบทกวีคุณจะร่างทุกอย่างจากประสบการณ์จริงเพื่อแสดงความคิดและความรู้สึกของตัวเองออกไป ปรากฏว่าผู้ป่วยแบบประคับประคองรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพสามารถใช้บทกวีในการหาความหมายและมุมมองของโรคร้ายแรงกับการสูญเสียที่มีต่อการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ คนส่วนใหญ่รู้แล้วว่าการอ่านมีประโยชน์ในแง่ของการรักษาโรคแต่ไม่รู้ว่าการเขียนก็มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตรุนแรงเช่นกัน คุณสามารถเลือกใช้วิธีการเขียนบำบัดได้เสมอ ดังนั้นอย่ามองข้ามข้อดีของการรักษาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายประเภทนี้และจงเขียนทุกสิ่งที่อยู่ในใจของคุณออกมา!