ความมันส์แห่งศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในสัปดาห์นี้กำลังจะระเบิดขึ้นแล้ว ในคืนวันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ นี้ โดยเป็นการโคจรมาพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งต้องบอกว่าช่วงที่จับฉลากช่วงนั้น ลิเวอร์พูล ค่อนข้างแข็งแกร่งและดุดัน สวนทางกับบาเยิร์น แต่มาดูว่านับตั้งแต่วันจับฉลากมาเจอ บาเยิร์น มิวนิค จากวันนั้นถึงวันนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วบ้าง
1. โมเม้นตั้มการคว้าแชมป์เปลี่ยน
ในช่วงจับเดือนธันวาคมที่มีการจับฉลากเจอกัน ลิเวอร์พูล นำโด่งจ่าฝูงตารางคะแนน ทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 7 แต้ม แต่ทว่าหลังผ่านพ้นปีใหม่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เร่งเครื่อง รวมถึง ลิเวอร์พูล สะดุดพลาดท่าเอง จนตอนนี้หัวตารางเปลี่ยน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ตามขึ้นมาคะแนนเท่ากัน แต่ เดอะ ค็อป ยังเบาใจได้หน่อยที่ว่าแข่งน้อยกว่า 1 นัด แต่การลุ้นแชมป์ ก็ไม่สบายอีกต่อไป
ส่วน บาเยิร์น มิวนิค จากฟอร์มที่ดูแล้วการลุ้นแชมป์ดูจะเป็น ดอร์ทมุนด์ แบบม้วนเดียวจบ เพราะ ฟอร์ม บาเยิร์น ตอนนั้นไม่ดีเท่าไหร่นัก ตามหลัง ดอร์ทมุนด์ ถึง 6 แต้ม แต่ เสือใต้ค่อย ๆ เร่งเครื่องจนตอนนี้ ไล่จี้ ดอร์ทมุนด์ เหลือ 2 แต้ม ซึ่งการคว้าแชมป์เริ่มไม่แน่นอนแล้ว
2. ผลงานในลีกของทั้งคู่
ลิเวอร์พูล ตอนที่จับฉลากเจอ บาเยิร์น ยังคงไร้พ่ายในลีก เสมอ 3 นัด เก็บคลียนชีตได้ถึง 10 นัดจาก 17 เกม ส่วน บาเยิร์น มิวนิค แข่ง 15 แพ้ไปถึง 3 นัดในลีก เสมอ อีก 2 เกม เก็บคลีนชีตได้เพียง 3 นัด ฟอร์มตอนนั้นไม่ดีทีเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากจับฉลากเจอกันเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล แข่ง 9 นัด เก็บคลีนชีตได้เพียง 3 นัดเท่านั้น เสียประตูเกือบทุกเกม และแพ้นัดแรกของ ฤดูกาลต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมหลุดเสมออีก 2 ส่วน บาเยิร์น มิวนิค หลังจากนั้นแข่ง 7 นัด ชนะไปถึง 6 แพ้เพียงนัดเดียว 1 เก็บคลีนชีต 2 เกม
3. ปัญหานักเตะบาดเจ็บ
ลิเวอร์พูล ต้องมาพบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บในช่วงปีใหม่ และเป็นกองหลังที่บาดเจ็บ ทำให้เป๋ไปพอสมควร นอกจากนี้ ในเกมกับ บาเยิร์น มิวนิค เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังหัวใจสำคัญของทีมที่ติดโทษแบน และจะลงไม่ได้ ส่วน โจ โกเมซ ก็ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ลอฟเรน ก็ยังไม่ฟิต ทำให้ตัวเลือกคู่เซ็นเตอร์ น่าจะเป็น ฟาบินโญ่ จับคู่กับ ฟาน ไดจ์ค เรื่องโชคดีของ ลิเวอร์พูล คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมาลงสนามได้ นั่นทำให้แฟนหงส์โล่งใจที่ไม่ต้องเห็น เจมส์ มิลเนอร์ มาเป็นแบ็คขวาจำเป็น เพราะสปีดเจ้าตัวอาจจะไม่ทัน คิงส์ลี่ย์ โกมัน ที่ต้องเจอกัน
ส่วน บาเยิร์น มิวนิค ก่อนหน้านี้ต้องพบปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บอยู่บ้างและไม่มีตัวเลือกมาก อย่าง คิงส์ลี่ย์ โกมัน ที่แทบไม่ได้ลงสนามเลยก่อนกลับมาลากเลื้อยอีกครั้งหลังเดือนพฤศจิกายน และกำลังทำผลงานได้ดีและน่าจะได้ลงดวล ลิเวอร์พูล เพราะทีมแพทย์ไฟเขียวให้ลงเล่นได้ เช่นเดียวกับ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่ลงเล่นได้ไม่ต่อเนื่องช่วงต้นฤดูกาล สามารถกลับมาเป็นกองกำลังหลักของทีมได้อีกครั้ง และยกระดับเกมแดนกลางของพี่เสือให้ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ฟอร์มของ แซร์จ นาบรี้ ที่ได้โอกาสลงเล่นช่วงหลังก็ระเบิดฟอร์มได้ดี
4. เก้าอี้ของ นิโก้ โควัช
แม้ว่าเก้าอี้ของ นิโก้ โควัชยังดูไม่มั่นคง แต่ก็ดีขึ้นมาในช่วงหลัง หลังจาก บาเยิร์น ทำแต้มไล่จี้จ่าฝูงเรื่อย ๆ และยังคงอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ 3 แชมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าเจ้าตัวอาจจะอยู่ได้ถึงแค่ช่วงปีใหม่ โดนเด้งเซ่นงานห่วย เนื่องจากผลงานในลีกตามห่าง ดอร์ทมุนด์ จนเหมือนจะหมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์ซึ่งคงต้องมาวัดว่ากึ๋นของ นิโก้ โควัช จะสู้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้หรือไม่ ผลออกมาจะเป็นอย่างไร แต่คู่นี้ดูสูสีคู่คี่บ้านใครบ้านมันเหลือเกิน
5. อลิสซอน เบ็คเกอร์ กับการเก็บคลีนชีต
ผลงานนับตั้งแต่ช่วงปีใหม่ต้องบอกว่า มือกาวชาวสเปนเหมือนจะโดนถลุงประตูแทบทุกใหม่ ส่วนหนึ่ง ก็เป็นเพราะปัญหานักเตะบาดเจ็บ ทั้งในตำแหน่งของแนวรับและแดนกลาง มีส่วนทำให้เจ้าตัวต้องทำงานหนักพอสมควร ซึ่งหลังผ่านปีใหม่มา ลิเวอร์พูล ค่อนข้างมีปัญหากับการป้องกันลูกเซ็ตพีซ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียประตูอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามในเกม อลิสซอน ก็ช่วย ลิเวอร์พูล เซฟสวย ๆ ได้เยอะพอสมควร แม้จะเก็บคลีนชีตไม่ได้ก็ตาม คงต้องมาลุ้นว่าในยามที่แนวรับกำลังมีปัญหาอย่างในเกมที่จะเจอ พี่เสือ คล็อปป์ มีตัวเลือกไม่มาก อลิสซอน จะช่วยป้องกันลูกยิงอเวย์โกล ได้หรือไม่
- เปี๊ยกบางใหญ่ -