ไม่อยู่บ้านทั้งที นอกจากจะต้องวางแผนการเที่ยว หรือจัดตารางงานทำธุระภายนอกบ้าน ก็อย่าลืมที่จะจัดการเรื่องที่ต้องทำแบบข้ามขั้นไม่ได้ในแต่ละวันอย่างการ รดน้ำต้นไม้ เพราะคงน่าเสียดายน่าดูถ้าต้นไม้ที่อุตส่าห์ลงแรงเลี้ยงดูทะนุถนอมจนงอกงามจะต้องแห้งเหี่ยวเฉาตายเพียงเพราะเราไม่อยู่บ้านแค่ไม่กี่วัน เพราะฉะนั้นเราจึงมีเคล็ดลับ ทางแก้ สำหรับเหตุฉุกเฉินต่อชีวิตต้นไม้น้อยๆ มาแชร์กัน!
ฝากฝังเพื่อนบ้านที่ไว้ใจ
หากคุณมีความสนิทชิดเชื้อกับเพื่อนบ้าน อยู่กันอย่างช่วยเหลือถ้อยทีถ้อยอาศัย การฝากฝังให้เพื่อนบ้านเข้ามารดน้ำต้นไม้ซัก 2 -3 ครั้ง/สัปดาห์ คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปนัก แต่การฝากงานเช่นนี้ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป และที่สำคัญ อย่าลืมซื้อขนมมาขอบคุณน้ำใจดีๆ ของพวกเขากันด้วยล่ะ
สร้างเรือนกระจกขนาดเล็ก
หากคุณมีต้นไม้จำนวนไม่มาก การสร้างเทอราเรียม เรือนกระจกขนาดเล็กที่ทำให้พวกมันสามารถให้น้ำ อยู่ได้ด้วยตัวเองไปเป็นเดือน ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยอาจจะควักเงินซื้อเพื่อความรวดเร็วและง่ายดาย แต่จะใช้ของ D.I.Y. ชั่วคราวก็ประหยัดได้เหมือนกัน โดยใช้ถุงพลาสติกใสที่ค่อนข้างหนาคลุมต้นไม้ไว้บนพื้นที่แห้ง แสงส่องถึงไม่มาก พืชที่อยู่ในถุงจะคายน้ำออกจากใบ และความชุ่มชื้นส่วนเกินจะหยดกลับไปในดิน ให้รากได้มีน้ำหล่อเลี้ยงอีกครั้ง
ติดตั้งไส้ตะเกียงให้น้ำ
หากต้นไม้ของคุณมีขนาดใหญ่จนเคลื่อนย้ายไม่ได้และไม่สามารถหาถุงคลุมได้ทั่ว อีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำได้คือการสร้างทางดูดซับน้ำ โดยหาภาชนะขนาดใหญ่สำหรับบรรจุน้ำ มาตั้งไว้ใกล้กับต้นไม้ เลือกวัสดุเพื่อเชื่อม ดูดซับ และถ่ายน้ำ เช่น เชือกเส้นหนา แถบผ้าฝ้าย เสื้อยืดเก่า โดยจุ่มปลายด้านหนึ่งให้ลึกจนสุดกระป๋องใส่น้ำ ส่วนอีกด้านจุ่มลงในดินลึกประมาณ 3 นิ้ว เพื่อค่อยๆ ให้ความชุ่มชื้นได้ตลอดเวลา
ทดลองใช้ขวดไวน์
โดยบรรจุน้ำให้เต็มขวดไวน์ แขวนห้อยหัวลง บิดฝาให้คลายเล็กน้อยจนน้ำสามารถหยดผ่านลงสู่ต้นไม้ด้านล่างได้ หากต้นไม้ชนิดที่คุณเลี้ยงต้องการน้ำมาก อาจใช้ขวดไวน์มากกว่า 1 ขวด สำหรับค่อยๆ ให้น้ำก็ได้เช่นกัน
ติดตั้งระบบการให้น้ำอัตโนมัติ
เหมาะสำหรับผู้ที่ปลูกต้นไม้จำนวนมากอย่างจริงจัง การลงทุนนี้ไม่ได้มีประโยชน์ชั่วคราว เฉพาะเมื่อคุณต้องเดินทางแต่ยังมีประโยชน์ในทุกวันธรรมดาอันรีบเร่งที่คุณมีเวลาไม่พอเพียงสำหรับการรดน้ำต้นไม้อีกด้วย
ดูเข้าท่าตั้งหลายวิธี แล้วคุณล่ะคะ จะเลือกการให้น้ำต้นไม้ตอนไม่อยู่บ้านวิธีไหนดี?
ที่มา www.goodhousekeeping.com
