โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

4 Bad Ideas ของ "ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม" กับความสำเร็จในระดับ Milestone ของชีวิต

Brand Inside

เผยแพร่ 17 พ.ย. 2561 เวลา 04.50 น. • Tangsiri
20181109_140635 (1)1-side
4 Bad Ideas ของป๋าเต็ด

ก่อนหน้านี้ Brand Inside ได้นำเสนอวิธีการคิดสร้างสรรค์ของ “ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม” มาวันนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับ 4 Bad Ideas ของเขาว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และทำไม Bad Idea ถึงกลายเป็นหลักหมุดสำคัญของชีวิตเขาคนนี้

4 Bad Ideas ของป๋าเต็ด
4 Bad Ideas ของป๋าเต็ด

Hot Wave ที่กำหนดเทรนด์การประกวดวงดนตรี

Bad Idea แรกของ “ป๋าเต็ด” ก็คือ Hot Wave Music Award เพราะตอนนั้นงานนี้ในสายตาคนอื่นจะถูกมองว่าเป็นงานที่ต่างกับการประกวดดนตรีอื่นๆ เช่นการประกวดนักร้องของสยามกลการ ซึ่งงานเหล่านั้นมันเป็นการประกวดวงดนตรีสมัครเล่น และไม่มีใครรู้จักแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อนจริงๆ

ทางทีม Atime ตอนนั้นจึงระดมสมองกัน และสรุปออกมาว่าจะจัดประกวดวงดนตรีโรงเรียน โดยเอาเรื่องฟุตบอลจตุรมิตรฯ มาเป็นแนวทาง เพราะถึงนักฟุตบอลจะไม่รู้จัก แต่ทุกคนก็ไปเชียร์โรงเรียนของตัวเอง ส่วนเรื่องบังคับให้ใส่ชุดนักเรียนตอนประกวด เพราะอยากแสดงความเป็นโรงเรียน และเวลาพวกเขาใส่ชุดนี้ก็จะไม่ทำอะไรที่ไม่สมควรด้วย

</span><p>ซึ่งผลสรุปออกมามันก็ค่อนข้างดี ผ่านตัวเลขการสมัครเข้ามาประกวดที่เพิ่มขึ้นตลอด แถมเวลาจัดแข่งรอบสุดท้ายนักเรียนแต่ละโรงเรียนก็มาเชียร์เพื่อนๆ เต็มที่ แม้จะมีช่วงหนึ่งที่การแข่งขันนี้ต้องหยุดไป แต่เราก็เอามันมาทำใหม่เป็นรายการทีวี และก็มีเด็กๆ ให้ความสนใจเช่นเดิม</p><h3>Fat Festival กับความท้าทายเรื่องเจ๊ง กับเจ๋ง</h3><p>Bad Idea ต่อมาก็คืองาน <strong>Fat Festival</strong> ที่ตอนนั้น “ป๋าเต็ด” ได้ออกจาก Atime เพื่อไปร่วมทุนทำคลื่นวิทยุ Fat Radio กับเพื่อน โดยชูเรื่องเปิดเพลงโดนใจวัยรุ่นแบบ Hot Wave แต่ให้เนื้อหาสาระแบบ Green Wave แต่ด้วย Agency ไม่เชื่อว่าวิทยุคลื่นนี้จะมีคนฟังจริงๆ ก็เลยไม่มีโฆษณาเข้า ทำให้การลงทุนเดือนละ 4 ล้านบาทกำลังหมดไป</p><span class="embed-youtube" style="text-align:center; display: block;"><iframe class="youtube-player" type="text/html" width="696" height="392" src="https://www.youtube.com/embed/vWmBVJTnYV8?version=3&rel=1&fs=1&autohide=2&showsearch=0&showinfo=1&iv_load_policy=1&wmode=transparent" allowfullscreen="true" style="border:0;"/></span><p>และที่เรียกมันว่า Bad Idea ก็เพราะแทนที่ทางทีมผู้บริหารจะมาปรับเนื้อหาวิทยุคลื่นนี้ให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อจะได้มีโฆษณาเข้า แต่ทางทีมเลือกที่จะจัดงาน Fat Festival ขึ้น โดยเอาศิลปินที่เปิดในคลื่นเราเช่น Groove Rider, สี่เต่าเธอ และอื่นๆ มาเล่นคอนเสิร์ต และเลือกจัดงานที่โรงงานยาสูบเก่า เพื่อพิสูจน์ว่าคนมางานคือคนที่ตั้งใจมาจริงๆ</p><p>และปรากฎว่างานนี้มันคึกคักมาก และตลอดสองวันที่จัดก็มีคนเข้ามาร่วมงานกว่า 20,000 คน แสดงให้เห็นว่ามันมีคนฟังคลื่นนี้จริงๆ และจากทุนที่กำลังจะหมดไป ก็มีโฆษณาเข้ามาเรื่อยๆ และทำให้คลื่นนี้สามารเดินหน้าจัดได้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน แม้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Cat Radio ก็ตาม</p><span class="embed-youtube" style="text-align:center; display: block;"><iframe class="youtube-player" type="text/html" width="696" height="392" src="https://www.youtube.com/embed/bPbA3XdKWzQ?version=3&rel=1&fs=1&autohide=2&showsearch=0&showinfo=1&iv_load_policy=1&wmode=transparent" allowfullscreen="true" style="border:0;"/></span><h3>มันใหญ่มาก ที่เริ่มมาจากคอนเสิร์ต Lula</h3><p>งาน <strong>Big Mountain</strong> หรือมันใหญ่มากเป็นอีกหลักหมุดสำคัญในชีวิตของ “ป๋าเต็ด” และเป็น Bad Idea ที่หลายคนคงคิดไม่ถึงแน่ๆ เพราะจุดเริ่มต้นของงานนี้มาจากแค่ “ป๋าเต็ด” ย้ายกลับมาอยู่กับแกรมมี่ และปั้นLula จนดัง ขนาดต้องจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวให้ แต่กลัวว่าคนจะมาไม่เยอะ เลยจะจัดเป็น Music Festival ที่รวมศิลปินหลายคนแทน</p><p>แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีงาน Music Festival เยอะมาก ถ้าไปจัดชนกันก็กลัวจะไม่แตกต่าง และดึงคนมาลำบาก จึงมองต่างด้วยการทำ 7 เวที และจัดงานเป็น 2 วัน เพราะ Music Festival ตอนนั้นมักมีแค่ 1 เวที จัดวันเดียว ทำให้ศิลปินมันซ้ำ ไปงานไหนก็เจอศิลปินเดิมๆ ทำให้มันต่างแค่บรรยากาศ</p><iframe style="border: none; overflow: hidden;" src="https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fbigmountainmusicfestival%2Fphotos%2Fa.122510824363%2F10155187837914364%2F%3Ftype%3D3&width=500" width="500" height="671" frameborder="0" scrolling="no"/><p>พอคิดอย่างนั้นมันก็เลยใหญ่มาก ส่วนชื่อมันใหญ่มากก็มาจากคำอุทานว่า “มันใหญ่มาก” ระหว่างประชุดงาน เพราะถ้าจะทำจริงๆ ศิลปินเยอะขนาดนี้มันต้องใหญ่มากจริงๆ ซึ่งปัจจุบันงาน Big Moutain ก็จัดมาเป็นปีที่ 9 และปีนี้คาดว่าจะมีคนอยู่ในงาน 80,000 คน ผ่านเงินลงทุนกว่า 90 ล้านบาท ซึ่งมันได้กำไรแน่ๆ</p><h3>“ผงาดง้ำค้ำโลก” กับความจำกัดด้านเวลา</h3><p>Bad Idea สุดท้ายของ “ป๋าเต็ด” ก็คือการทำคอนเสิร์ต <strong>“ผงาดง้ำค้ำโลก”</strong> ให้กับ <strong>Paradox</strong> ด้วยระยะเวลาเตรียมงานเพียง 1 เดือนนิดๆ เพราะก่อนหน้านี้ได้จองฮอลล์คอนเสิร์ตไปแล้ว แต่ไม่สามารถจัดคอนเสิร์ตให้กับศิลปินวงที่ต้องเล่นในวันนั้นได้ จึงเลือก Paradox มาเป็นตัวตายตัวแทน</p><span class="embed-youtube" style="text-align:center; display: block;"><iframe class="youtube-player" type="text/html" width="696" height="392" src="https://www.youtube.com/embed/nKTmP1m8wdw?version=3&rel=1&fs=1&autohide=2&showsearch=0&showinfo=1&iv_load_policy=1&wmode=transparent" allowfullscreen="true" style="border:0;"/></span><p><em>“เราไม่อยากเสียค่ามัจจำหลักล้าน แต่ด้วยเวลามันจำกัด เลยเห็น Paradox ขึ้นมาเป็นวงแรก เพราะด้วยความสนิท และคุยกันรู้เรื่อง ในทางกลับกันเราก็ต้องมาคิดว่าแฟนเพลง Paradox ไม่ซื้อบัตรแพง และมีแฟนไม่เยอะ ทำให้เราต้องคิดใหม่ทำใหม่หลายอย่าง เช่นแทนที่จะใช้จอ LED เป็นพื้นหลัง ก็เปลี่ยนเป็นตุ๊กตาเป็ดยางแทน”</em> ป๋าเต็ด กล่าว</p><p>สรุปแล้วจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจำหน่ายบัตรได้ 2,000 ใบเพื่อคุ้มทุนจากความจุ 4,000 ใบ สรุปแล้วแค่วันแรกมันก็ขายได้เป็นพันใบแล้ว และหลังจากนั้นมันก็หมดอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าถ้าเราทำอะไรที่มันตอบโจทย์ และเอาข้อจำกัดมาปรับให้ดี จาก Bad Idea ก็กลายเป็น Good Idea ได้</p><h3>สรุป</h3><p>สุดท้ายแล้วก็อยากจะย้ำว่า Bad Idea ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียง Idea ที่มาก่อนเวลาเกินไปเท่านั้น ประกอบกับเรื่อง “ข้อจำกัด” นั้นอย่ามองว่ามันเป็นเรื่องไม่ได้ ให้มองว่ามันเป็นเครื่องมือสำคัญที่พระเจ้าให้มา เพราะพอเรารู้ข้อจำกัด การสร้างสรรค์งานที่ดีออกมาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป</p>

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0