โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

AP เปิด 3 เหตุผลท้าทายอสังหาฯ ภายใต้วิกฤต ก่อนจะเป็นโอกาส

Wealthy Thai

อัพเดต 06 ส.ค. 2566 เวลา 12.00 น. • เผยแพร่ 12 ก.ค. 2564 เวลา 15.44 น. • This’s Alano

วิกฤติ COVID-19 คือแรงกดดันครั้งใหญ่ของภาพรวมเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างชัดเจน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับ sentiment เชิงลบจากปัจจัยดังกล่าว ดังนั้นการนำพาธุรกิจให้อยู่รอดคือโจทย์ของความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ COVID-19 ถือเป็นแรงกดดันต่อการเปิดขายโครงการ รวมทั้งกระทบจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน เนื่องจากต้องหยุดก่อสร้างโครงการ ที่อาจส่งผลให้การส่งมอบโครงการล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งเป็นผลต่อการรับรู้รายได้ แต่หลายๆบริษัทก็ได้ปรับตัวทางธุรกิจ เพื่อความอยู่รอด โดยวันนี้ Wealthy Thai ได้มีโอกาสพูดคุยกับบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ APในงานแถลงข่าว ‘แผนต่อยอดความเติบโต ควบคู่การ EMPOWER LIVING ให้ทุกคนในสังคมไทย’ ท่ามกลางปรากฏการณ์ระลอกคลื่น COVID-19
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า เราทุกคนยังคงต้องวนเวียนอยู่ในระลอกคลื่นของความเสียหายที่มี COVID-19 เป็นศูนย์กลาง ซึ่งการระบาดระลอกใหม่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเรายังไม่สามารถหลุดออกจากคลื่นนี้ได้จริงๆ สำหรับธุรกิจอสังหาฯ แล้ว หัวใจสำคัญที่มีผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจคือ ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าเศรษฐกิจประเทศดี อสังหาริมทรัพย์ก็จะดีตามการ จ้างงาน กำลังซื้อ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็จะตามมาหมด
โดยความท้าทายของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยจากนี้ไปมี 3 ข้อที่ต้องจับตามอง เรื่องแรกการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งวัคซีนถือเป็นตัวแปรสำคัญ 2. มาตรการต่างๆ จากทางภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อหลังจากความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา
และสุดท้ายแผนการเปิดประเทศ ที่นำมาซึ่งกำลังซื้อที่เป็น sentiment ที่ดีให้กับตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ถ้าถามว่าจุดต่ำสุดที่เจอกันในวันนี้จะจบสิ้นลงเมื่อไหร่ ไม่มีใครตอบได้ ภาคธุรกิจและทุกคนยังคงต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเผชิญกับระลอกคลื่นที่จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งนับไม่ถ้วนอย่างที่เจอกันอยู่ในทุกวันนี้
ทั้งนี้บริษัทยังคงดำเนินแผนธุรกิจด้วยความรัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการกระแสเงินสด ภายใต้พันธกิจใหญ่ขององค์กร “EMPOWER LIVING” ที่พร้อมส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมาย
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยต้องรอให้ COVID-19ดีขึ้น ที่จะทำให้เศรษฐกิจจะดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทย เหมือนกับสหรัฐอเมริกาในช่วงไตรมาส 3-4/63 ที่ผ่านมา แต่พอวัคซีนกระจายตัวได้ดี เริ่มมีภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งไทยก็เช่นกัน หากฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย เชื่อว่าปี 2565 สถานการณ์ของเศรษฐกิจประเทศไทยก็น่าจะฟื้นกลับมาได้ และเข้าสู่สภาวะปกติ
อย่างไรก็ตามในวิกฤตนี้ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบหมด แม้กระทั่งอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเห็นว่าในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงถึง 25%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้ที่ลดค่อนข้างมาก คือ หมวดราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ลดลงถึง 55% แต่อย่างไรก็ตามการโอนกรรมสิทธ์ก็ลดลง แต่ไม่ได้ลดลงเหมือนกับซัพพลายดังกล่าว ซึ่งความต้องการยังมีอยู่ ดังนั้นหากเป็นผู้ประกอบที่มีความพร้อมสามารถปรับตัวให้ตอบรับความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการเหล่านั้นก็จะสามารถผ่านไปได้ จึงขึ้นอยู่กับว่า “เราเตรียมความพร้อมมากน้อยแค่ไหน”
นายวิทการ กล่าวอีกว่า บริษัทได้ดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังตลอดเวลา และเตรียมมความพร้อมเสมอ มีการบริหารจัดการให้ดีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทมีความพร้อมด้านการเงิน ที่พร้อมจะเปิดโครงการใหม่อยู่เสมอ โดยวิกฤตครั้งนี้เชื่อว่าจะคลี่คลายลงได้เมื่อเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ดังนั้นด้วยความพร้อมต่างๆที่บริษัทมีอยู่ จึงมองว่าในวิกฤตครั้งนี้ ก็ถือเป็นโอกาสเช่นกัน

ผลงานในครึ่งปีแรกทำนิวไฮ

สำหรับครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทเติบโตท่ามกลางกระแสคลื่นวิกฤตที่โหมหนักได้อย่างแข็งแกร่ง สามารถบริหารจัดการการขายและการโอนได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้ผลงานในครึ่งปีแรกทำนิวไฮได้สูงสุด ทั้งยอดขายและยอดโอน โดยมียอดขายมากถึง 17,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 18% หากเทียบกับครึ่งปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสินค้าซุปเปอร์สตาร์อย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าแนวราบในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นกว่า 28% โดยเฉพาะไตรมาส 2 เพียงไตรมาสเดียวสินค้าแนวราบมียอดขายสูงกว่า 9,100 ล้านบาท
ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรได้อย่างชัดเจนถึงแม้ที่ผ่านมาบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,060 ล้านบาทเท่านั้น ด้านยอดโอนครึ่งปีแรกคาดว่าจะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 19,900 ล้านบาท

ครึ่งปีหลังเปิด 26 โครงการ 33,440 ล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อการก้าวเดินไปต่อในครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมรุกการพัฒนาโครงการไปในเซ็กเมนต์ใหม่ ด้วยการขยับขึ้นตลาดบนในระดับ Super Luxury โดยไฮไลท์ที่น่าสนใจคือการนำแบรนด์ ‘บ้านกลางกรุง’ กลับมาพัฒนาอีกครั้ง ด้วยจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งในการพัฒนาโครงการที่จะอยู่ใจกลางกรุง
โดยมีบ้านกลางกรุง ทองหล่อเป็นต้นแบบความสำเร็จกับจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลางกรุง โดยนำร่องโครงการแรกกับ บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 บ้านเดี่ยวหรู หนึ่งเดียวบนทำเลใจกลางเมือง เอกสิทธิ์เพียง 13 ครอบครัว เริ่ม 35-60 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจัดงาน Pre-Sale ในเดือนกันยายนนี้
นอกจากนั้นแล้ว ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัทเตรียมขยายโปรดักส์ไปยังตลาดแมสมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับโฉมแบรนด์ ASPIRE (แอสปาย) ภายใต้คอนเซ็ปต์ LIVE AS ‘YOU’ ASPIRE : Living at Aspire , Create YOUR Aspiring Life เลือกใช้ชีวิตในแบบที่อยากจะเป็น
ซึ่งจะมุ่งพัฒนารูปแบบโครงการกับ 4 จุดขายใหม่ ได้แก่ CITY-ZONE LOCATION เจาะทำเลในเมือง จำนวนยูนิตน้อย เดินทางสะดวกด้วยระบบคมนาคมวันนี้และอนาคต MODULAR LAYOUT DESIGN สเปซดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้งานได้ตามใจ UNCOMPROMISED FACILITIES พื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็ม และ UNEXPECTED PRICE PACKAGE แพคเกจราคาขายที่สอดรับกับกลุ่มเป้าหมาย เริ่มต้นประมาณ 55,000-65,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งพร้อมเปิดตัวใน 2 ทำเลได้แก่ ASPIRE รัตนาธิเบศร์-เวสต์ตัน ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท และ ASPIRE ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 ต่อไป
สำหรับแผนครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,440 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในปี 2564 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้นจำนวน 31 โครงการ มูลค่าประมาณ 37,500 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 27 โครงการ มูลค่าประมาณ 24,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดตัวไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่า 4,060 ล้านบาท และครึ่งปีหลังเปิดตัวอีกจำนวน 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท
นายวิทการ กล่าวอีกว่า บริษัทมั่นใจประเด็นการปิดไซต์ก่อสร้างไม่มีผลกระทบต่อเป้าหมายทั้งปี 64ซึ่งบริษัทวางเป้ายอดขายไว้ที่ระดับ 33,500 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุนอยู่ที่ 43,100 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 64 มียอดขายรอโอน (Backlog) เพื่อรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี มากถึง 40,552 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ปีนี้ราว 26,000 ล้านบาท
“การหยุดก่อสร้าง 1 เดือนกระทบแผนการก่อสร้างอยู่แล้ว แต่เราเชื่อว่าจะกลับมาและปรับแผนเป้าหมายการขายและการโอน และไม่มีผลต่อการขายและการตลาดของเรา เพราะปกติเราจะมีสต๊อกพร้อมขายโดยเฉพะแนวราบราว 3 เดือน แต่สำหรับคอนโดฯ เราเชื่อว่าจะกลับมาเร่งงานให้ทันได้ เนื่องจากปกติเวลาเราวางแผนมีการเผื่อเวลาไว้อยู่แล้ว”นายวิทการ กล่าว
สำหรับการเตรียมแผนรับมือบริษัทมีมาอย่างต่อเนื่อง และวางแผนในระยะยาว โดยเชื่อว่าในวิกฤตย่อมมีคนอยู่รอด และจะมีคนที่ลำบาก โดยบริษัทมีความเชื่อว่า ทุกคนต้องผ่านไปด้วยกัน คนเข้มแข็ง ควรช่วยคนที่อ่อนแอกว่า ดังนั้น AP จึงมีการช่วยเหลือทั้งพันธมิตร และสังคมอีกด้วย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0