โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

4 ไฮโซรุ่นใหญ่ชิลรับวิถีใหม่ แถมโซเชียลมีเดียแน่น!?

Manager Online

เผยแพร่ 02 มิ.ย. 2563 เวลา 17.53 น. • MGR Online

ตั้งแต่เหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ามาคุกคามคนไทยทั้งประเทศอย่างหนัก ส่งผลให้มีการประกาศล็อกดาวน์ปิดสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสร้าย จนนำไปสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ที่เรียกว่า นิวนอร์มัล

หากเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ต้องมาใช้ชีวิตวิถีใหม่ ทั้งเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยสื่อสารกันในยามที่ออกจากบ้านไม่ได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับคนรุ่นเก่าจะมีวิธีปรับตัวกันอย่างไร เพื่อใช้ชีวิตวิถีใหม่อย่างสมดุล ลองมาฟังความคิดเห็นของเซเลบรุ่นใหญ่ของเมืองไทย ว่ามีวิธีปรับตัวกันอย่างไรบ้าง?

เริ่มที่ รุ่นใหญ่ลายครามสุดแซ่บ “วี มาร์” เล่าว่า เธอต้องอยู่กับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ให้ได้ เพราะยุคนี้เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน

“ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ทั่วโลกจะต้องเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงเช่นนี้ ประเทศไทยยังถือว่าดีกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ที่มีการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เราเองก็ต้องมีส่วนช่วยภาครัฐด้วยเช่นกัน อย่างตัวพี่ตั้งแต่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแทบไม่ออกจากบ้านเลย เพราะลูกชายมักขู่อยู่เสมอว่า แม่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพราะอายุเยอะ เมื่อเป็นแล้วจะรักษายากมาก ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ออกจากบ้าน แต่ถ้าจำเป็นต้องออกก็เตรียมอุปกรณ์ครบ ทั้งหน้ากากผ้า เฟซชิลด์ แอลกอฮอล์เจล ที่สำคัญ จะไปกับเพื่อน 2-3 คนเท่านั้น และต้องมั่นใจว่าเพื่อนไม่มีความเสี่ยงการติดเชื้อแน่นอน และจะเว้นระยะห่างกันประมาณ 1 ช่วงแขน ถ้าไกลกว่านี้อาจคุยกันไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ)”

เธอยอมรับว่าช่วงแรกอาจมีความยากลำบากในการปรับตัว แต่เพื่อความอยู่รอด ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถ

“แรกๆ สำหรับพี่ก็ถือว่าปรับตัวยากพอสมควร เพราะทำงานนอกบ้านแทบทุกวัน พอได้หยุดอยู่บ้านเพื่อลดการติดเชื้อก็ต้องทำให้ได้ เพราะดูข่าวที่มียอดติดเชื้อรายวันก่อนหน้านี้ก็กังวลพอสมควร ดังนั้น ถ้าเราคิดถึงเพื่อนมากๆ ก็จะใช้วิธีการยกหูโทรศัพท์คุยกัน หรือไม่ก็อาจนัดเจอเพื่อนๆ ที่ร้านจิวเวลรี ซึ่งเป็นร้านของเราก็มั่นใจในความปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ที่มีการปลดล็อกมาพี่ยังไม่ได้ไปเลย เพราะคนเยอะ ไม่อยากไปแออัด เกรงว่าเชื้อไวรัสจะกลับมาระบาดซ้ำสอง เราอายุเยอะแล้วไม่อยากไปเสี่ยงกับตรงนั้น”

วี มาร์ บอกว่าจากเหตุการณ์รุนแรงนี้ ทำให้เธอต้องปรับตัวและเรียนรู้อะไรหลายอย่างเช่นกัน

“พอมีการรณรงค์ให้หยุดอยู่บ้าน เราจึงฝึกใช้โปรแกรมมีตติ้งซูมคุยกับลูกๆ หลานๆ จะได้เห็นหน้าครบทุกคน แรกๆ ก็ยากเหมือนกัน แต่พอคุยกันบ่อยๆ ก็ชิน ตอนนี้คุยกันแทบทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าบางสถานการณ์ต้องปรับตัวเพื่อให้ชิน และอยู่ให้ได้ในสังคมที่มีการเปลี่ยนไปอย่างเช่นทุกวันนี้ เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราในอนาคต” วี มาร์ เล่าด้วยน้ำเสียงสดใส

ขณะที่ อีกหนึ่งไฮโซรุ่นเก๋า “แม่อุ๊-มณฑ์ลัชชา สกุลไทย” แฟชั่นนิสต้ารุ่นใหญ่ของเมืองไทยบอกว่า เริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ได้มากขึ้น และสบายใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสร้าย ที่ลดน้อยลง จึงทำให้เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติใหม่ได้อย่างสมดุล และมีความสุขมากขึ้น

“ตอนแรกที่เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดแม่รู้สึกเครียดมาก เพราะอายุเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อง่ายมาก แต่ด้วยความที่เราแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว ก็คลายความกังวลได้บ้าง แต่เราต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ตัวแม่เอง เวลาจะออกไปไหนมาไหนต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ทั้งหน้ากากผ้า เฟซชิลด์ ถุงมือ รวมถึงคนขับรถและแม่บ้าน ก็ให้ใส่หน้ากากทุกครั้งเวลาที่อยู่ในบ้าน และเวลาไปทำธุระข้างนอกเมื่อเข้าบ้านมาก็ต้องอาบน้ำทุกครั้ง แม่จะวางแอลกอฮอล์เจลไว้ทุกจุดของบ้าน เพื่อให้ทุกคนในบ้านใช้ล้างมือ และพอเข้าบ้านมาแม่ต้องใช้สเปรย์ฉีดพ่นเท้าทุกครั้ง ตอนนี้เราทำแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว”

แม่อุ๊บอกว่า ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย เพิ่งมีสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องออกไปทำธุระนอกบ้านด้วยเหตุจำเป็น แต่ก็ป้องกันตัวเองอย่างดี

“ช่วงที่รัฐบาลเขารณรงค์ให้อยู่บ้าน เพื่อร่วมกันหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แม่ก็ไม่ออกไปไหนเลย จะให้แม่บ้านออกไปซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารที่บ้านรับประทานเอง แต่มีวันจันทร์ที่แล้ว ที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จึงออกไปทำธุระข้างนอก แต่แม่ก็เตรียมอุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง หน้ากากผ้า เฟซชิลด์ ถุงมือ แอลกอฮอล์เจล ด้วยความที่แม่อยู่คอนโดฯ ดังนั้น ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน แม่จะวางไม้จิ้มฟันไว้ให้สำหรับทุกคนใช้กดลิฟต์ เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้มือกด และเมื่อทำธุระเสร็จก็รีบกลับบ้านทันที”

เพราะมีเพื่อนเยอะมาก ช่วงเก็บตัวอยู่บ้านตลอดสองเดือนกว่า จึงทำให้แม่อุ๊ สาวสังคมรุ่นลายคราม ได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารมากขึ้นกว่าการทำความสะอาดเครื่องเพชรเม็ดโต เพราะเธอเชื่อว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ อย่าชะล่าใจ ดังนั้น การหยุดอยู่บ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรค

“ตอนนี้แม่เริ่มชินกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่แล้ว เพราะไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะกลับมาอีกไหม ดังนั้น เราต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ อย่างทุกวันนี้ ลูกสาว (น้องพะเพื่อน) ก็เป็นคนสอนให้แม่ใช้โปรแกรมเฟซไทม์ คุยกับแก๊งเพื่อนๆ คนสนิท ถ้าคุยกันหลายคนก็จะใช้โปรแกรมซูม ซึ่งสิ่งเหล่านี้แม่ก็ต้องเรียนรู้และฝึกให้ได้ เพราะอยู่บ้านย่อมเหงาเป็นธรรมดา ออกไปเจอเพื่อนก็ไม่ได้ เพราะอาจจะไปเสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัสมา ดังนั้น เราก็ต้องใช้เทคโนโลยีช่วย ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่แม่ต้องเรียนรู้เพื่อให้อยู่ได้ในสถานการณ์แบบนี้” แม่อุ๊ทิ้งท้ายอย่างสบายใจ

มาถึงรุ่นใหญ่ใจสะอาด “สุรีย์ รัตนหิรัญญา” ก็ยังยอมรับว่า กว่าจะผ่านช่วงเวลาอันแสนเข็ญจากการเฝ้าระวังมาได้นั้น ต้องใช้เวลาถึงสองเดือนเธอถึงจะเริ่มชิน กับการใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัล

“ปกติเป็นคนรักความสะอาดอยู่แล้ว จะมีกระดาษเปียกติดกระเป๋าอยู่เสมอ เวลาไปทานอาหารที่ไหนก็จะเอากระดาษมาเช็ดโต๊ะ เก้าอี้ ส่วนช้อนก็ต้องให้เด็กเสิร์ฟเอาต้มในน้ำร้อนให้ใหม่ แต่เมื่อมาเจอเหตุการณ์นี้พี่ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ นอกจากจะต้องพกหน้ากาก แอลกอฮอล์เจล แอลกอฮอล์แบบน้ำ เฟซชิลด์ ติดตัวตลอดเวลาแล้ว ช่วงแรกพี่ไม่กล้าทานของสดเลย เพราะเขาบอกว่าต้องทานของปรุงสุกเท่านั้น ขนาดสลัดผักสดที่ชอบมาก ยังต้องเอาผักไปต้มก่อน และน้ำผลไม้ปั่นที่ชอบทานหนักหนา ดื่มเสร็จยังต้องดื่มน้ำอุ่นตาม แถมล้างมือทั้งวันจนเส้นวาสนาหายไปหมด” มาดามสุรีย์เล่าถึงช่วงแรกที่ต้องปรับตัว

เมื่อเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ประกอบกับ คิดว่าโรคมันมีแล้วเดี๋ยวมันก็ต้องผ่านไป จึงหันมาสนุกกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่

“ตอนนี้เริ่มคลายความกังวลไปได้เยอะ แต่ยังคงให้ความสำคัญกับความสะอาด กินร้อนช้อนกลาง รวมถึงใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาออกจากบ้าน เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ห้างสรรพสินค้าเปิด พี่ก็เพิ่งไปชอปปิ้งมา และพกแอลกอฮอล์เจลติดตัวตลอด พอซื้อของเสร็จก็ใช้แอลกอฮอล์เช็ดมือ และเช็ดบัตรเครดิตเวลาชำระเงิน หรือเวลาไปรับประทานอาหารนอกบ้านกับสามี ก็จะนั่งห่างกันคนละ 1 เมตร คือหัวโต๊ะกับท้ายโต๊ะไปเลย พอปรับตัวได้ทุกอย่างก็มีความสุข และดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างราบรื่น” มาดามสุรีย์เล่าอย่างสนุก

ปิดท้ายที่ เซเลบรุ่นลายคราม อย่าง “ป้าหนิง-ปัญญ์ชลี เพ็ญชาติ” ที่รายนี้ดูจะมีความสุขมาก เพราะครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า

“ปกติแม่เป็นคนไม่ชอบออกจากบ้านอยู่แล้ว เพราะแค่เลี้ยงสุนัขให้ลูกสาวก็หมดวันแล้ว และยิ่งมีมาตรการให้อยู่บ้านเพื่อนหยุดเชื้อ แม่ยิ่งมีความสุขมากขึ้น เพราะมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น แต่ที่บ้านมีแม่บ้านหลายคนจึงต้องให้ความรู้กับเขาว่า เวลาออกจากบ้านต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และเมื่อกลับมาแล้วต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนหยิบจับอะไร ส่วนตัวแม่ตั้งแต่วันประกาศล็อกดาวน์จนถึงป่านนี้ ยังไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย”

จากที่เป็นคนใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไม่ค่อยเป็น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้แม่หนิงใช้เทคโนโลยีเกือบเต็มทุกรูปแบบ

“ถึงแม้ว่าแม่หยุดอยู่บ้านแต่ก็ยังต้องทำงาน จึงต้องใช้โปรแกรมซูม ซึ่งเป็นการประชุมออนไลน์ผ่านหน้าจอไอแพด แรกๆ ก็ทำไม่ค่อยเป็น ก็ให้เด็กที่บ้านสอน แต่ตอนนี้เริ่มทำเองได้เกือบหมดแล้ว ส่วนเพื่อนๆ เมื่อคิดถึงก็จะเฟซไทม์คุยกัน จากที่เมื่อก่อนจะโทร.นัดเจอกัน”

แม่หนิงมองว่า เหตุการณ์นี้ให้บทเรียนกับชีวิตของใครหลายคน โดยเฉพาะ การใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท

“เหตุการณ์ครั้งนี้แม่ว่ามันเหมือนสงครามโลกแบบกรายๆ สงครามโลกขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม มีศัตรูคอยมุ่งร้าย แต่รอบนี้ศัตรูคือเชื้อโรคร้าย แต่เรายังมีอาหารให้กินกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลไปทั่วโลก ใครจะคิดว่านักบิน ซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคงจะต้องตกงาน ดังนั้น หลังจากนี้ไป การใช้ชีวิตต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท หามาได้ก็ต้องแบ่งเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนคนที่มีเหลือกินเหลือใช้ก็ต้องแบ่งปันให้คนที่ด้อยโอกาสกว่า เพราะสังคมไทยเป็นสังคมแห่งความมีน้ำใจและความสามัคคี” ป้าหนิงสรุปปิดท้าย

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0