โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

360ล้านบาทตำคอใคร?? ทำคดี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” สะดุด

Manager Online

อัพเดต 09 ก.ย 2560 เวลา 17.02 น. • เผยแพร่ 09 ก.ย 2560 เวลา 17.02 น. • MGR Online
 360ล้านบาทตำคอใคร?? ทำคดี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” สะดุด

ป้อมพระสุเมรุ

25 ส.ค.ที่ผ่านมา นอกเหนือจากเป็นวันจารึกประวัติศาสตร์คดีสำคัญอย่างการปล่อยปละละเลยโครงการรับจำนำข้าว ที่จำเลย“หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลือกที่จะไม่เผชิญหน้าองค์คณะผู้พิพากษา และหลบหนีไป ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “บิ๊กรัฐบาล” รู้เห็นเป็นใจให้ “สาวปู” โบยบินไปอยู่ในอ้อมอก “พี่แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร ที่ต่างแดนเป็นที่เรียบร้อย

แต่ในขณะที่สปอตไลท์ฉายไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ อีกฟากที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลก็ได้นัดฟังคำพิพากษาในคดีสำคัญไม่แพ้กัน คือ คดีที่ที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมเกียรติ คงเจริญ อายุ 58 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด , นางธวัล แจ่มโชคชัย อายุ 60 ปี กรรมการผู้จัดการ , นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 27 ปี กรรมการผู้จัดการ กับพวกรวม 13 คน ในความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับค่าบริการ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวกระทำการอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมจากนักท่องเที่ยว ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้อนุญาต

หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ” นั่นเอง

ที่น่าสนใจคือ บทสรุปในวันนั้น ศาลพิพากษา“ยกฟ้อง” แต่ด้วยกระแส “หนูปู แวร์ อาร์ ยู” ที่ร้อนแรงกว่า ทำให้การยกฟ้องคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ไม่เป็นที่สนใจเท่าที่ควร

จนเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา โดยเฉพาะมีการนำเสนอคำวินิจฉัยขององค์คณะตุลาการ ถึงเหตุที่พิพากษายกฟ้องใน 3 ประเด็นใหญ่ ๆ

หนึ่ง ฝ่ายโจทก์ไม่มีพยานบุคคลใดๆ มาเบิกความกับศาลว่าถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม หรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัท มีเพียงการอ้าง “บันทึกคำให้การ” จากนักท่องเที่ยวที่ระบุว่า มาท่องเที่ยวในประเทศไทยและมีความประทับใจและไม่เคยถูกบังคับให้ซื้อสินค้า หรือบังคับให้เดินทางไปที่ใดที่หนึ่ง

สอง โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริง หรือข้อมูลใดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของจำเลยที่เข้าข่ายข้อหาอั้งยี่

สาม โจทก์บรรยายในคำฟ้อง ขบวนการนี้ทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหายเป็นอย่างมาก แต่การนำสืบมา กลับไม่มีข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่าจำเลยได้ร่วมกันกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

ใครได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอดก็คงขมวดคิ้วด้วยความระคนสงสัย ก็เป็นที่รู้กันว่า “ขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ” มันมีอยู่จริง และสร้างความเสียหาย กระทบ“ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ” มาอย่างยาวนานเสียด้วย และยังนำไปสู่การฟอกเงิน การทำผิดกฎหมายหลายรูปแบบ

ตัว “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เองก็พูดหลายวาระ ให้มีการปราบปรามเรื่องนี้ให้เบ็ดเสร็จแบบถอนรากถอนโคน ยกเป็น “วาระแห่งชาติ” เรื่องเร่งด่วนเรื่องหนึ่ง

ไม่เท่านั้นยังเป็น “วาระระหว่างประเทศ” ที่ทางการจีนได้ฝากให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญให้หมดจากประเทศไทย เพราะนอกจากจะสร้างปัญหาในประเทศปลายทางอย่างไทยแล้ว ที่ต้นทางประเทศจีนก็มีปัญหาไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

ครั้งหนึ่ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องตั้งโต๊ะลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับผู้แทนจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซีเอ็นทีเอ) เพื่อร่วมกันวางเกณฑ์ กติกาต่างๆ เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ หมดจากประเทศไทย ด้วยซ้ำ

ซึ่งการดำเนินการในช่วงต้นก็ดูเข้าที แม้จะกระทบกับตัวเลขรายได้การท่องเที่ยวของไทยไปบ้าง แต่ก็ทำให้หลายๆ เรื่องดูดีขึ้น คู่ขนานไปกับการดำเนินคดีที่ภาครัฐเด็ดขาด เอาจริงเอาจัง ถึงขนาดมอบข้อหาหนักอย่าง “อั้งยี่” ให้กับผู้ที่ถูกกกล่าวหา พร้อมๆ กับการดำเนินการยึดทรัพย์ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมแล้วนับหมื่นล้านบาท

แต่พอคำพิพากษายกฟ้องออกมา ก็ทำให้สงสัยกันว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?? ตามมาด้วยคำถามที่ว่าจำเลยทั้งหลายไม่มีความผิด ดำเนินธุรกิจถูกต้องจริง หรือมี “ไอ้โม่ง” พยายามตัดจบเรื่องนี้

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า มีเม็ดเงินสะพัดถึง 360 ล้านบาท ตลอดกระบวนการยุติธรรมของไทย ไล่ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ

โดยเฉพาะ “ต้นธารกระบวนการยุติธรรม” อย่าง “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการทำสำนวนว่า มีความหละหลวม หรือรัดกุมเพียงใด เหตุใดถึงแพ้น็อกคาศาลแบบพลิกล็อกถล่มทลาย

ยิ่งด้วย 3 ประเด็นใหญ่ที่เป็นเหตุศาลยกฟ้องนั้น สะท้อนว่าอาจมี “รายการคุณขอมา” ที่ทำให้พนักงานสอบสวน “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” เขียนสำนวนส่งๆ หละหลวม จนคนร้ายลอยนวล

ตามมาด้วยข้อสงสัยในช่วง “กลางน้ำกระบวนการยุติธรรม” นั่นก็คือ “พนักงานอัยการ” ในฐานะทนายแผ่นดิน ที่ต้องพิจารณาสำนวนการสอบสวนของทางตำรวจก่อนยื่นส่งฟ้อง ทว่ากลับยื่นส่งฟ้องไปจนถูกศาลตอกหน้าหงายกลับมา ตีความได้ว่า “สำนวนอ่อน”

ทำไมอัยการที่เป็นอาชีพที่วนเวียนอยู่กับการเขียนสำนวน ตรวจสำนวน ถึงดูไม่ออกว่า สำนวนของทางตำรวจอ่อนยวบยาบ และแนะนำให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม หรืออาจจะนำมาซึ่งการไม่ส่งฟ้อง เพื่อตั้งกรรมการร่วมในการทำสำนวนให้รัดกุม

เมื่อ “ต้นน้ำ-กลางน้ำ” ปล่อยให้สำนวนอ่อน การที่ “ปลายทาง” พิพากษายกฟ้อง จึงไม่แปลก

ข่าวว่า“นายกฯตู่” ไม่พอใจอย่างมาก ที่ศาลอาญายกฟ้อง “ขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ” เพราะมี “พิรุธ”หลายเรื่องที่คนนอกยังจับได้ไล่ทัน มีหรือคนระดับ “ผู้นำประเทศ” จะไม่รู้ และสั่งการให้มีการทำสำนวนใหม่เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีทำให้ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องโดยด่วน และมอบหมายให้ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ร่วมทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” ในการทำสำนวนคดีให้กับ “บิ๊กจุก” พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนปราบปราม “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”

ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน ก็มีคำสั่งเด้งฟ้าผ่า พ.ต.อ.นิติวัฒน์ แสนสิ่ง ผู้กำกับฯ สน.พญาไท ไปแขวนไว้ที่ กองบังคับการนครบาล 1 ก็ว่ากันว่า เป็นคำสั่งตรงมาจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” ด้วยความที่ สน.พญาไท รับผิดชอบสำนวนคดี ตลอดจนข่าวหนาหูว่า “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ที่ได้รับมอบหมายจาก“นายกฯตู่” และ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้ไปขอดูสำนวนจาก “ผู้กำกับ สน.พญาไท” แต่ถูกปฏิเสธ

โดยมีรายงานข่าวว่า ไปชนตอ “พล.ต.ต.เจ้าเก่า” เข้าอย่างจัง พูดกันไปถึงว่า มี “พล.ต.ต.” ที่มีบารมีมากกว่า“พล.ต.อ.” ไปไล่ทุบบริษัทเอกชน แล้วมาล้มมวยต้นคนดู

ซึ่ง “พล.ต.ต.เจ้าเก่า” ที่ว่า ก็คงไม่ต้องอ้อมค้อม ไล่อ่านดูข่าวก็จะรู้ว่า หมายถึง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปฟ. หรือ 191 ในฐานะอดีต ผบก.ตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องที่ถูกกล่าวหา

เป็น “บิ๊กโจ๊ก” ที่เมื่อสัปดาห์ก่อนเพิ่งได้รับตำแหน่ง ว่าที่รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) แต่ผ่านมาสัปดาห์เดียว ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม ได้มีการจัดทัพในส่วนของ กองบัญชาตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ เพื่อหวังแก้ปัญหา ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมกับนักท่องเที่ยว ทั้งเรื่องการขูดรีด โกง เอาเปรียบ ธุรกิจนำเที่ยวต่างๆ ตามนโยบายรัฐบาล

โดยที่ประชุม ก.ตร. เลือก พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 (ผบช.ภ.9) ให้เป็น ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) คนแรก ซึ่งถือว่าเซอร์ไพร์สพอสมควร เพราะเดิมเก้าอี้นี้ มี พล.ต.ท. รณศิลป์ ภู่สาระ รักษาราชการแทน ผบช.ทท. จับจองอยู่

แต่ที่เซอร์ไพร์สกว่านั้น ก็คือ มีการขยับ“บิ๊กโจ๊ก” จาก ว่าที่รอง ผบช.น. ให้เป็น ว่าที่ รองผู้บัญชาตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) เข้าคิวขึ้น ผบช.ทท. ในอนาคตอันใกล้นี้

แล้วที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปกว่านั้น ก็ พล.ต.ต.วัชรพงศ์ ดำรงค์ศรี ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) ที่เป็นคนลงนาม คำสั่งที่ 201/2560 ลงวันที่ 2 ก.ย. สั่งให้ พ.ต.อ.นิติวัฒน์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (ศปก.บก.น.1) โดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา 30 วัน หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

พอมาวันที่ 6 ก.ย. พล.ต.ต.วัชรพงศ์ คนเดิมได้มีคำสั่ง เลขที่ 218/2560 ให้ พ.ต.อ.นิติวัฒน์ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับ สน.พญาไท ตามเดิม ด้วยเหตุผลว่า “ภารกิจที่มอบหมายให้ปฏิบัติได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”

การที่ พ.ต.อ.นิติวัฒน์ ได้กลับตำแหน่งเดิมในเวลาอันรวดเร็ว และการที่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เลือกที่จะทิ้งเก้าอี้ รอง ผบช.น. ที่ใหญ่เป้ง มาทำงานด้านตำรวจท่องเที่ยวเหมือนเคย น่าจะเป็น“ตัวแปรสำคัญ” ของการดำเนินการอุทธรณ์คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่มีเวลาอีกไม่นาน หรือไม่เกิน 30 วัน ตามกฎหมายกำหนด

จะรุก ?? จะล้ม ?? เม็ดเงิน 360 ล้านบาท มีจริงหรือไม่ ?? แล้วใครเป็นไอ้โม่งจ้องล้มคดี ?? อีกไม่นานคงได้รู้กัน.

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0