โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

30 มีนาคม 2396 กำเนิดศิลปินโลก ไบโพลาร์ผู้อาภัพ

คมชัดลึกออนไลน์

อัพเดต 30 มี.ค. 2563 เวลา 03.57 น. • เผยแพร่ 29 มี.ค. 2563 เวลา 19.00 น.

**************************

ถ้าเอ่ยชื่อ "ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค" คนไทยอาจไมคุ้นเคย เท่ากับชื่อ "วินเซนต์ แวน โก๊ะ" ซึ่งเป็นคนๆ เดียวกัน

แวนโก๊ะ เป็นจิตรกรชาวดัตช์ในลัทธิประทับใจยุคหลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก

เขาสร้างสรรค์งานศิลป์กว่า 2,100 ชิ้นในเวลาเพียงสิบปีกว่า ในจำนวนนี้เป็นภาพสีน้ำมัน 860 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในสองปีสุดท้ายของชีวิตเขา

ผลงานของเขามีทั้งภาพภูมิประเทศ ภาพนิ่ง ภาพคนเหมือน และภาพเหมือนตนเอง ซึ่งล้วนมีลักษณะเด่นเป็นสีสันจัดจ้านและงานพู่กันที่ฉวัดเฉวียนแฝงอารมณ์ชวนประทับใจอันช่วยสร้างรากฐานให้แก่ศิลปะสมัยใหม่

แต่แล้วหลังทนทุกข์เพราะไข้ใจและความจนมานานหลายปี เขาปลิดชีวิตตนเองเมื่ออายุได้ 37 ปี

เส้นทางสีดำ

อย่างไรก็ดี วันนี้เมื่อ 167 ปีก่อน หรือวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1853 (2396) คือวันที่แวนโก๊ะเกิดมาบนโลกใบนี้ ณ เมืองซึนเดิร์ต ในภูมิภาคบราแบนต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับชายแดนเบลเยียม

แวนโก๊ะมีพ่อเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน ครอบครัวของเขาเป็นชนชั้นกลางที่มีชีวิตเรียบง่ายสมถะ อยู่เรื่อยๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

หนำซ้ำแวนโก๊ะเองยังเป็นเด็กหนุ่มที่ดูเงอะงะ ไม่คล่องแคล่ว ว่ากันว่าลักษระของแวนโก๊ะเหมือนคนมีปมด้อย ขี้ใจน้อย ชอบเก็บตัวและมีอาการของโรควิตกกังวลอ่อนไหวง่าย แต่ก็อ่อนโยน มีความเมตตาต่อคนทุกข์ยาก

เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เข้าทำงานที่ห้องภาพแห่งหนึ่งที่เดอะเฮก กับญาติที่ทำงานด้านศิลปะ ต่อมาเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี เขาก็ถูกส่งตัวไปยังห้องภาพที่สาขาปารีส

ด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อ และไม่ชอบที่ทางห้องภาพเอารูปมาหลอกขายกับคนที่ไม่รู้จักศิลปะ เขาจึงไปบอกให้ลูกค้าไม่ให้ซื้อภาพนั้น ส่งผลให้ทางร้านไล่เขาออกจากงานในที่สุด

หลังจากนั้น เขาจึงหันไปศึกษาทางศาสนาที่วิทยาลัยศาสนาที่นครอัมสเตอร์ดัม แต่เรียนได้ปีกว่าๆ ก็เลิกเรียนและย้ายไปอยู่ในเหมืองถ่านหินในตำบลบอรีนาฌ

ที่นั่นแวนโก๊ะใช้ชีวิตเทศนาสั่งสอนและช่วยเหลือคนทุกข์ยาก และยังอุทิศเงินจำนวนหนึ่งให้กับคนทุกข์ยาก ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยากจน ส่งผลให้ต้องอดมื้อกินมื้อจนร่างกายผ่ายผอมลงและเป็นพิษไข้

จนที่สุด ด้วยบุคลิกที่แปลกแยก ร่างกายที่ซูบผอมไม่น่ามอง แวนโก๊ะไม่สามารถไปในเส้นทางนักบวชได้ เพราะศาลพระก็ไม่ยอมแต่งตั้งให้เขาเป็นนักเทศน์ เขาจึงต้องเร่ร่อนไปอย่างไร้จุดหมาย

อย่างไรก็ดี เหมือนฟ้ามีตา ราวปี ค.ศ. 1880 แวนโก๊ะมีอายุราวๆ 27 ปี ได้ส่งข่าวไปยัง "เตโอ" น้องชายของเขาว่าตนเองค้นพบว่าศิลปะคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา โดยหันมาเขียนรูปอย่างจริงจัง

แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง วันเวลาผันผ่านไปหลายปี ปรากฏว่าเส้นทางการเป็นศิลปินวาดภาพของแวนโก๊ะ ไม่สวยงามดังฝัน เขายังคงยากจนข้นแค้น

จนกระทั่งวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม 19เ แวนโก๊ะตัดสินใจปลิดชีพตนเองด้วยการใช้ปืนยิงเข้าทางซี่โครงด้านซ้าย หลังจากการเขียน "รูปทางสามแพร่ง" (Wheat Field with Crows)

รูปทางสามแพร่ง Wheat Field with Crows

มีการวิจารณ์ภายหลังว่า งานชิ้นนี้อาจจะสื่อถึงการหาทางออกให้กับของชีวิตของเขาเอง ที่เปรียบเสมือนทาง 3 สายที่มาบรรจบกันทำให้เลือกไม่ถูกว่าจะไปทางใดต่อ โดยงานชิ้นนี้เป็นงานชิ้นสุดท้ายของเขาที่ทุ่งนา

ว่ากันว่าหลังการยิงแล้ว เขาไม่เสียชีวิตทันที โดยเขาได้เอามือกดปากแผลไว้และเดินกลับมาที่ร้านกาแฟที่เขาพัก จากนั้นมาสิ้นในอีก 2 วันต่อมา คือ วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 1890 ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของเพื่อน ๆ ศพของเขาถูกฝังไว้ในสุสานเล็กๆ ที่เมืองโอแวร์ซูว์รวซ ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส

หลังจากนั้นอีก 1 ปีต่อมา เตโอ น้องชายก็เสียชีวิตตามพี่ชายของเขาไปจากความตรอมใจและอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ศพของเตโอถูกฝังที่เมืองยูเทรกต์ จนในอีก 23 ปีต่อมา ภรรยาของเตโอจึงย้ายศพของเขาบางส่วนมาฝังไว้ใกล้ๆ ศพของพี่ชาย ในสุสานเล็กๆ ที่เมืองโอแวร์ซูว์รวซ

โลกขับขาน

ในชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี แวนโก๊ะได้สร้างอิทธิพลต่อศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสท์, โมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ

ในภาพเหล่านั้น แวนโก๊ะได้สื่อถึงความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของตนเองที่แบกรับมาตลอด การใช้สีอันร้อนแรง ฉูดฉาด การปัด ตวัดพู่กันแบบเหมือนไม่ตั้งใจ ไปจนถึงลายเส้นที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ ลายเซ็น ล้วนแล้วแต่กลับกลายมาเป็นราคาที่คนจนไม่มีสิทธิ์เอื้อม ในขณะที่มหาเศรษฐีต่างใฝ่ฝันตามหา แม้รวยล้นฟ้าก็ใช่ว่าจะได้ครอบครองง่ายๆ

เช่นภาพ The Starry Night ปี ค.ศ. 1889 ผลงานชิ้นโบแดงที่เป็นวิวนอกหน้าต่างจากห้องของแวนโก๊ะ ในหมู่บ้าน Saint-Remy ในประเทศฝรั่งเศส แสดงถึงความสนใจในด้านดาราศาสตร์ ภาพวาดนี้ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศิลปะตะวันตกและเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวน โก๊ะ

The Starry Night

ขณะที่ภาพ Sunflowers ปี ค.ศ. 1888 คืออีกภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในชีวิตของแวนโก๊ะที่เคยสร้างมา และถูกลงในบันทึกการประมูลสำหรับภาพวาดเพื่อขายให้กับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นเป็นเงินเกือบ 40 ล้านเหรียญในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1987 และสองปีต่อมาสถิตินี้ก็ถูกโค่นลงด้วยราคาของภาพวาด Irises

Sunflowers

Irises

สมัยหนึ่ง หากถามว่าทำไมแวนโก๊ะถึงป่วย หลายคนไม่มีคำตอบ บ้างว่าเพราะการใช้ชีวิตไม่ถูกสุขลักษณะ สิ่งแวดล้อม สังคม และความยากจน บ้างว่าปีศาจ บ้างว่าเพราะพระเจ้า

แต่ในยุคสมัยต่อมา แวนโก๊ะ คือผู้ป่วยทางจิตที่เรียกว่า "ไบโพลาร์" (Bipolar) อันเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมอง ที่ไม่สมดุลในการหลั่งสารสื่อนำประสาท และปัจจัยด้านพันธุกรรม

ดังที่พอทราบ อาการของผู้ป่วยแบ่งออกได้ 2 ภาวะ คือ ภาวะมาเนีย (Mania) จะอารมณ์ดีรื่นเริงอย่างผิดปกติ ขยันขันแข็งชนิดไม่ยอมหลับยอมนอน ไอเดียบรรเจิด คิดโปรเจ็กต์ต่าง ๆออกมามากมาย แต่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล หรือเป็นไปไม่ได้

ภาวะต่อมาก็คือ ซึมเศร้า (Depressive) ที่ผู้ป่วยจะรู้สึกจิตตก หดหู่ ไม่มีกระจิตกระใจอยากทำอะไร กินไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกตัวเองไร้ค่า และเมื่ออาการรุนแรงขึ้น ก็อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้

มีรายงานว่า มีการคาดกันว่า วินเซนต์ แวนโก๊ะ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องผจญกับโรคนี้อย่างทุกข์ทรมาน ช่วงชีวิตครั้งหนึ่ง แวนโก๊ะเคยป่วยหนักถึงขั้นตัดหูข้างซ้ายของเขาด้วยใบมีด จากนั้นก็ไปที่ซ่องโสเภณีและบอกกับหญิงโสเภณีที่ชื่อเรเชลว่า "จงปกป้องสิ่งนี้ด้วยชีวิตของคุณ" นั่นก็คือภาพวาด Self-Portrait with Bandaged Ear ปี ค.ศ. 1889 ที่ในภาพนั้นเห็นได้ว่าหูข้างซ้ายของเขามีผ้าพันแผล และทำให้รู้ได้ว่าเขาวาดรูปตัวเองจากเงาสะท้อนในกระจก

ที่สุดจึงมีการกำหนดให้วันที่ 30 มีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเกิดของแวนโก๊ะ เป็นวันไบโพลาร์โลก หรือ World Bipolar Day

เราหลายคนมักพูดเสมอว่า แวนโก๊ะเป็นศิลปินที่ถึงจะยิ่งใหญ่แต่ก็อาภัพยิ่ง นั่นเพราะในช่วงชีวิตแห่งลมหายใจ เขาไม่เคยได้ลิ้มรสชาติแห่งความสุขสมแห่งดวงวิญญาณ เพียง 3 ปีสุดท้ายที่เขาเริ่มมีชื่อเสียงก่อนจะเสียชีวิต มันมิอาจเติมเต็มดวงใจอันบอบช้ำของเขาได้

ที่สำคัญงานของเขาก็มิได้รับเสียงตอบรับจากผู้คนเท่ากับตอนที่เขาลาจากโลกนี้ไปแล้วตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ คือ The Red Vineyards near Arles แถมคนซื้อยังเป็นเพื่อนศิลปินของเขาเอง

The Red Vineyards near Arles

หลายคนมักถามว่า ดวงวิญญาณของเขาจะได้รับรู้หรือไม่ว่า ผลงานของตนเองกลับกลายเป็นศิลปะเลอค่า ราคาแพงลิบ และความทรงคุณค่าแห่งความหมายต่อมวลมนุษยชาติขนาดไหน

และเชื่อว่าหลายคนต่างอธิษฐานขอให้เขารับรู้ถึงสิ่งนี้

*****************************************

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0