โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

3 เหตุผลที่ทำให้ นาคี 2 ประสบความสำเร็จได้เร็วและแรง ทุบสถิติหนังไทยใน รอบ 10 ปี จ่อขึ้นแท่น 'หนังไทยพันล้าน' เตรียมโกยเงินต่อทั่วโลก

Brandbuffet

อัพเดต 24 ต.ค. 2561 เวลา 12.28 น. • เผยแพร่ 24 ต.ค. 2561 เวลา 12.23 น. • Brand Move !!

เรียกได้ว่าแรงตั้งแต่เปิดตัว พร้อมทุบทุกสถิติภาพยนตร์ไทยทุกเรื่องในรอบ 10 ปี สำหรับ “นาคี ๒”  ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ในวันเปิดตัวสูงสุดถึง 50 ล้านบาท (เข้าฉาย 18 ตุลาคม 2561) รวมทั้งยังทำรายได้แตะ 100 ล้านบาท เร็วที่สุด เพียงแค่วันที่ 2 ของการเข้าฉาย ขณะที่ยอดรายได้ล่าสุดซึ่งยังไม่พ้นสัปดาห์แรกของโปรแกรม ตัวเลขก็วิ่งเข้าสู่หลัก 200 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย เรียกได้ว่าต่อความหวังและสร้างกำลังใจให้กับกลุ่มคนสร้างหนังไทยไปได้อีกมากโข   

ถอดรหัสความสำเร็จ นาคี ๒

คุณพรชัย ว่องศรีอุดมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ให้ข้อมูลว่า นาคี ๒ เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถึง 200 ล้านบาทได้ค่อนข้างเร็ว เพียงแค่วันที่ 4 ในการเปิดตัวก็มียอดถึง 213 -218 ล้านบาท ทำให้คาดว่าจะสามารถพิชิตเป้าหมายที่วางไว้เบื้องต้นที่ 500 ล้านบาทได้ภายในสัปดาห์แรกเท่านั้น

ส่วนรายได้ตลอดโปรแกรมการฉายประมาณ 6-8 สัปดาห์ คาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีมากเช่นกัน เพราะสามารถ Break Record ทุกสถิติของวงการหนังไทย ทำให้มีโอกาสสูงที่นาคี ๒ จะขึ้นแท่นสร้างปรากฏการณ์เป็น “หนังไทยพันล้าน” เรื่องใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้หนังเรื่อง "พี่มากพระโขนง" เคยทำไว้ได้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับไปดูจะพบว่า กว่าที่หนังเรื่องพี่มากพระโขนงจะทำรายได้แตะหลักร้อยล้านบาทได้ ก็ยังต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน เลยทีเดียว

เมื่อถามถึงเหตุผลที่ทำให้ นาคี ๒ ประสบความสำเร็จได้เร็วและแรง คุณพรชัย ให้เหตุผลว่ามาจากความลงตัวในทุกองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้  ไม่ว่าจะเป็น

  1. เนื้อเรื่องแนว Thriller Fantasy ที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะยังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธาของคนไทย

  2. ความพอดีของ Timing ในการเข้าฉายของภาพยนตร์ ในช่วงระยะเวลาเทศกาลออกพรรษา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ทำให้การโปรโมทหรือประชาสัมพันธ์ได้รับความสนใจ และเข้ากับกระแสที่เกิดขึ้น

3. คุณภาพของทีมโปรดักชั่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เขียนบท คนทำกราฟิก ผู้กำกับอย่างคุณอ๊อฟ พงษ์พัฒน์ หรือทีมนักแสดงทั้ง เคน-แต้ว,ณเดชน์-ญาญ่า และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกๆ รายละเอียดของการทำงาน

นอกจากนี้ นาคี ๒ ยังเป็นการต่อยอดกระแสความแรงของคอนเทนต์เดิมที่เคยประสบความสำเร็จจากการเป็นละครในช่องฟรีทีวีมาก่อน ทำให้เมื่อนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์จึงมีฐานผู้ชมกลุ่มที่ชื่นชอบและอยากดูเพื่อติดตามเรื่องราวต่อเนื่อง และจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เอ็ม พิคเจอร์ส นำไปเป็นต้นแบบเพื่อสร้างให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในแวดวงอุตสาหกรรมหนังไทยได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะการต่อยอดภาพยนตร์จากคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จจากช่องทางอื่นๆ มาแล้ว ซึ่งไม่ใช่โมเดลใหม่ เพราะในหลายๆ ประเทศก็มีการทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือในเกาหลีก็ตาม

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีที่ผ่านมา และสามารถสร้างกระแส Talk of The Town รวมทั้งประสบความสำเร็จในเรื่องของเรตติ้งซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากในยุคดิจิทัลทีวี จนทำให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้ได้รับอานิสสงส์กันไปถ้วนหน้า ทั้งนักแสดงหลัก นักแสดงสมทบ คนเขียนบท เจ้าของบทประพันธ์ ผู้กำกับ หรือแม้แต่ไก่ที่อยู่ในเรื่องก็ยังเป็นประเด็นให้คนพูดถึง ตามมาด้วยสารพัด Hashtag จนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทั้งในไทยและเทรนด์โลก หลากหลายสินค้าและแบรนด์ต่างก็เกาะกระแส Realtime Marketing กันอย่างสนุกสนาน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากที่โปรเจ็กต์ต่อไปของเอ็ม พิคเจอร์ส น่าจะเป็นการต่อยอดคอนเทนต์จากละครบุพเพสันนิวาสของทางช่อง 3 นั่นเอง

สร้างปรากฏการณ์ได้ทั้ง 2 ฝั่งโขง

ไม่เพียงแค่การตอบรับอย่างถล่มทลายในตลาดประเทศไทยเท่านั้น เพราะ นาคี ๒ ยังสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดภาพยนตร์ในลาวได้ด้วยเช่นกัน ในฐานะภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในวันเปิดตัว โดยได้ฤกษ์เข้าฉายในวันเดียวกับไทยและทำรายได้ในวันแรกถึง 31,000 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าสถิติเดิมที่เป็นของหนังไทยเช่นเดียวกัน โดยทำไว้ในปีที่ผ่านมาคือเรื่อง ส่ม ภัค เสี่ยน มีรายได้วันเปิดตัวที่ 23,000 เหรียญสหรัฐ และทำรายได้ตลอดโปรแกรมฉายรวมทั้งสิ้น 1.2 แสนเหรียญสหรัฐ ขณะที่การตอบรับของนาคี ๒ ซึ่งค่อนข้างแรงกว่า ทำให้คาดว่าตลอดโปรแกรมการฉายรวม 4 สัปดาห์ในลาวน่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนเหรียญสหรัฐ

“สาเหตุที่ฉายในลาวเพียงแค่ 4 สัปดาห์ เนื่องจากจำนวนโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในลาวไม่ได้มีจำนวนมากเท่าในไทย โดยจะมีอยู่ใน 2 เมือง คือ ปากเซ และเวียงจันทน์เท่านั้น ประกอบกับจำนวนประชากรในประเทศที่มีน้อยกว่าไทยหลายเท่าตัว การตอบรับในระดับนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงมากทีเดียว”

ขณะเดียวกันยังได้วางแผนในการนำภาพยนตร์นาคี ๒ ไปทำตลาดในต่างประเทศเพิ่มเติม โดยในเดือนธันวาคม จะนำไปฉายเพิ่มเติมในกัมพูชา รวมทั้งในกลุ่ม CMLV ที่อยู่ภายใต้การดูแลและบุกเบิกของทางเอ็ม พิคเจอร์สเอง ส่วนในตลาดอื่นๆ ทางพันธมิตรอย่างบริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ได้ขายลิขสิทธิ์แบบ All Right ในการทำตลาด Worldwide นอกเหนือจากพื้นที่ที่เอ็ม พิคเจอร์สดูแลอยู่ ให้กับทางบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการทำตลาดได้ทั้งหมด

*ปีทองหนังไทย โตได้เท่าตัว *

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปีนี้ ต้องนับว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของหนังไทยก็เป็นได้ เพราะสามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว โดยเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดจาก 11% มาเป็น 22% ได้ในปีนี้ ขณะที่รายได้เฉลี่ยหนังไทยแต่ละเรื่องก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก จาก 18 ล้านบาท มาเป็นมากกว่า 50 ล้านบาท แม้ว่าจะมีจำนวนหนังไทยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์น้อยลงจาก 48 เรื่องในปีที่ผ่านมา เหลืออยู่เพียง 43 เรื่องในปีนี้

นอกจากนี้ ยังพบว่าจำนวนภาพยนตร์ที่ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท มีมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยจนถึงปัจจุบัน มีหนังทำเงิน 100 ล้านได้แล้วถึง 5 เรื่อง ทั้ง น้องพี่ที่รัก ที่ทำรายได้ 244 ล้านบาท ไบค์แมน ศักรินทร์ ตูดหมึก ทำรายได้ 142 ล้านบาท ขุนพันธ์ 2 ทำรายได้ 125 ล้านบาท  ๙ ศาสตรา ทำรายได้ 111 ล้านบาท และเรื่องล่าสุดอย่าง นาคี ๒ ที่ทำรายได้ใน 4 วันแรกที่เข้าฉายทะลุ 200 ล้านบาทไปแล้ว และยังมีโอกาสที่จะกลายเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องใหม่ที่จะทำรายได้สูงสุดแทนแชมป์เก่าอย่าง พี่มากพระโขนงได้อีกด้วย

ที่สำคัญยังมีภาพยนตร์อีก 11 เรื่อง ที่เตรียมเข้าฉายในไตรมาสสุดท้ายนี้ หลังประเดิมเรื่องแรกด้วยนาคี ๒ ซึ่งทำรายได้ไปอย่างสวยงาม จนขึ้นแท่นภาพยนตร์ร้อยล้านเรื่องล่าสุด และเชื่อว่ายังมีภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉาย ที่มีโอกาสทำรายได้ถึง 100 ล้านบาท ได้อีกราว 3-4 เรื่อง อาทิ โฮมสเตย์ ที่มี เฌอปราง กัปตันวง BNK 48 แสดงนำ จะเข้าฉายปลายเดือนตุลาคมนี้, ภาพยนตร์เรื่องโนราห์ โดยมีศิลปินชาวปักษ์ใต้อย่าง เอกชัย ศรีวิชัย เป็นผู้สร้าง รวมทั้งภาพยนตร์ขุนบันลือ ที่ได้หม่ำ จ๊กมก มาเป็นผู้กำกับ

“เห็นได้ว่าจำนวนหนังไทยร้อยล้านในปีนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จากปีที่แล้วมีหนังไทยทะลุ 100 ล้าน เพียง 3 เรื่อง คือ ส่ม ภัค เสี่ยน ทำได้ 210 ล้านบาท ฉลาดเกมส์โกง 186 ล้านบาท และ มิสเตอร์เฮิร์ท ทำรายได้ 133 ล้านบาท ประกอบกับมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศเข้ามาฉายหลายเรื่อง ทำให้ในปีที่ผ่านมาหนังไทยมีรายได้ประมาณ 1พันล้านบาท ถือเป็นปีหนึ่งที่แย่ที่สุดของหนังไทยก็ว่าได้ โดยที่แชร์ในตลาดเหลืออยู่เพียงแค่ 11% ขณะที่ปีนี้หนังไทยสามารถพลิกฟื้นมาเติบโตได้เป็นเท่าตัว ขณะที่หนังต่างประเทศโต 5-6% เท่านั้น โดยเฉพาะแรงหนุนจากหนังมาแรงล่าสุดอย่างนาคี ๒ และเรื่องอื่นๆ ที่จ่อคิวเข้าโรงในไตรมาสสุดท้าย โดยคาดว่าเฉพาะรายได้ในไตรมาสสุดท้ายนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทอย่างแน่นอน ขณะที่รายได้หนังไทยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราวๆ 2 พันล้านบาท”

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างโดดเด่นของหนังไทยในปีนี้คือ การเดินหน้าขยายจำนวนโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเจ้าตลาดอย่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ที่มีแผนเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่จนถึงสิ้นเดือนตุลาคมรวม 21 สาขา จำนวน 45 โรง ทำให้ในภาพรวมจะมีจำนวนสาขารวม 115 สาขา จำนวนโรงภาพยนตร์ 747 โรง โดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัดที่มีถึง 105 สาขา ใน 53 จังหวัด และสามารถขยายลงลึกไปจนถึงระดับอำเภอ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ไทย นอกเหนือไปจากพื้นที่ชานเมืองรอบกรุงเทพฯ โดยคาดว่าจำนวนโรงภาพยนตร์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศจากผู้ประกอบการทุกรายในตลาดรวมกันในปัจจุบันน่าจะมีไม่ต่ำกว่าหลักพันโรงแล้ว ซึ่งการเข้าถึงโรงภาพยนยตร์ได้อย่างสะดวกก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนให้ตลาดเติบโตได้มากขึ้นเช่นกัน

*เอ็ม พิคเจอร์ส เดินเกมใหม่ ต้องขาดทุนน้อยลง  *

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานอย่างโรงภาพยนตร์ที่มีความพร้อมมากขึ้นแล้ว การพัฒนาการทำตลาดและคอนเทนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ทั้งภาพรวมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการเติบโตขึ้นได้เช่นกัน สะท้อนผ่านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในองค์กรของเอ็ม พิคเจอร์สเอง ด้วยการปรับระบบการทำหนังทั้งวิธีคิดและวิธีการทำตลาดให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดและกลุ่มผู้ชมภาพยนตร์มากขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มความหลากหลายให้กับตัวภาพยนตร์ ทั้งหนังแนวตลก หนังผี หรือหนังแอคชั่น

ที่สำคัญจะเน้นการทำงานร่วมกับพันธมิตรให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในแง่ของการแชร์ต้นทุน แชร์โนวเลจต่างๆ หรือการใช้ช่องทางของแต่ละฝ่ายเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการโปรโมทคอนเทนต์ หรือโอกาสในการนำหนังไปฉายในหลากหลายตลาดร่วมกับกลุ่มพันธมิตรทั้งคนไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจากเกาหลี จีน และสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างให้หนังไทยมีความแข็งแรงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

“คอนเทนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่าหนังแต่ละเรื่องจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งเราได้ปรับวิธีคิดและแนวทางในการผลิตคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตลาดและคนดูชอบมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้อาจจะตอบโจทย์ Passion ในฝั่งของผู้สร้างหรือผู้ผลิตมากเกินไป รวมทั้งการผลิตหนังที่ตอบโจทย์การแบ่งกลุ่มเซ็กเม้นต์คนดูอย่างชัดเจน เช่น ความสำเร็จจาก ส่ม ภัค เสี่ยน ที่สามารถทำรายได้สูงสุดในปีที่ผ่านมา และต่อยอดกลยุทธ์มาสู่หนังเรื่องโนราห์ในปีนี้ เพราะหนังบางเรื่องจะมีฐานที่แข็งแรงในบางพื้นที่ ซึ่งเพียงแค่ฟังชื่อเรื่อง บางคนก็อาจจะไม่คิดที่จะดู  แต่ขณะที่ในคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายกลับรู้สึกอยากจะดูแค่ได้ยินเพียงชื่อเรื่อง แม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ตาม ดังนั้น การทำเซ็กเม้นต์ให้ถูกต้องก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จเช่นกัน”

รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการติดตามเทรนด์ต่างๆ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ การคุยกับกลุ่มคนซื้อหนังว่าต้องการอะไร หรือพยายามติดตามข้อมูลรีเสิร์ชหรือผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนการผลิตหนังให้ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างเอกลักษณ์ให้กับภาพยนตร์ไทย เพื่อให้มีความแตกต่างและได้รับการยอมรับจากระดับ Global ภายใต้ความเป็นไทยที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว

ขณะที่การลงทุนในปีหน้า เอ็ม พิคเจอร์ส เตรียมสร้างหนังใหม่รวม 12 เรื่อง ภายใต้งบลงทุนเฉลี่ยต่อเรื่อง 30-40 ล้านบาท หรือหากสถานการณ์ทางการตลาดเอื้ออำนวย อาจจะเพิ่มการลงทุนหนังฟอร์มไม่ใหญ่มากเพิ่มเติมอีกประมาณ 2-3 เรื่อง ผ่านงบลงทุนทั้งปีที่เตรียมไว้รวมกว่า 300-400 ล้านบาท โดยยังเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่หลากหลายเพื่อให้เข้าถึงและตอบโจทย์ได้ในทุกๆ กลุ่ม ทั้งหนังรักโรแมนติค หนังตลก ดราม่า หรือสยองขวัญ เช่น รักไม่เป็นภาษา, สิ้นสามต่อน, บุษบา, คืนยุติธรรม, สตอจิ้มแจ่ว, ฟ้าฟื้น, แสงกระสือ, Music High School, โปรเมย์ และ ขจร-ดาหลา เป็นต้น โดยคาดว่าจะสามารถทำรายได้รวมในปีหน้าราวๆ 2 พันล้านบาท

ทั้งนี้ เอ็ม พิคเจอร์ส มีความเชื่อว่าการปรับวิธีคิดและกระบวนการในการทำงานต่างๆ จะทำให้สถานการณ์ของหนังไทยและการดำเนินธุรกิจของบริษัทมีประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น เช่น จากที่ก่อนหน้านี้เคยทำหนัง 10 เรื่อง อาจจะขาดทุนถึง 7 เรื่อง ได้กำไรเพียงแค่ 2-3 เรื่อง แต่ตอนนี้เริ่มมองเห็นภาพของผลลัพธ์ที่กลับขั้วมาในทิศทางที่ดีได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ทำให้หนังที่สร้างมา 10 เรื่อง อาจจะได้ผลตอบรับที่ดีได้ถึง 7 เรื่อง นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่ต้องการเห็นหนังไทยสามารถแชร์สัดส่วนในตลาดได้เทียบเท่ากับหนังต่างประเทศ จากปีนี้เริ่มเห็นทิศทางสัญญาณที่ดีขึ้นจากแชร์ที่โตได้เป็นเท่าตัว และหากรักษามาตราฐานและการเติบโตเช่นนี้ไว้ได้ก็เชื่อว่าภาพที่หวังไว้จะสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะแม้แต่ในเกาหลีหรือญี่ปุ่น ก่อนที่ Local Content จะแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้ก็เคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกับประเทศไทยมาก่อนเช่นกัน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0