อาจฟังดูแปลกเมื่อซื้อกระเป๋าดีไซเนอร์ราคาแพงคุณอาจต้องคำนึงถึงมูลค่าหากต้องนำมาขายต่อ ดังนั้นมีกระเป๋า 3 ยี่ห้อที่ควรอยู่ในตัวเลือกของคุณซึ่งได้แก่ Louis Vuitton รุ่น Neverfull, Chanel 2.55 และ Hermes รุ่น Birkin นั่นเอง (ตามภาพ)
แหล่งที่มา : www.thesweetestthingblog.com/2015/08/falloutfitideapuffervest.html
แหล่งที่มา : www.cutypaste.com/noticias/9-impresionantes-hechos-que-no-sabias-sobre-chanel/
แหล่งที่มา : marketsmedia.com/todays-best-investment-handbags/
จากข้อมูลของเว็บไซด์กระเป๋ามือสอง Tradesy พบว่ากระเป๋าซุปเปอร์แบรนด์ทั้ง 3 ยี่ห้อซึ่งมีลักษณะโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์คือการเดิมพันที่ปลอดภัยที่สุดในการขายต่อเช่นเดียวกับกระเป๋าแบรนด์ Goyard ในทางตรงกันข้ามกระเป๋าแบรนด์ Proenza Schouler กลับทำกำไรได้ไม่มากนักเนื่องจากความต้องการน้อยลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามอย่าหวังว่าจะได้เงินคืนมาทั้งหมดหรือมากกว่าเงินที่คุณจ่ายไปเพื่อแลกกับกระเป๋าดีไซเนอร์ ทว่ากระเป๋าของ Goyard มีแนวโน้มว่าจะขายได้มากกว่ามูลค่าการค้าปลีกราว 1.3 เท่า ส่วน Chanel ขายได้เฉลี่ยร้อยละ 86 ของมูลค่าการค้าปลีก ขณะที่ Hermes อยู่ที่ร้อยละ 72 และ Louis Vuitton อยู่ที่ร้อยละ 70 หรือมากกว่านั้น และถ้าคุณต้องการโละสร้อยข้อมือแฟชั่นทิ้ง แบรนด์ Goyard จะสามารถขายออกไปได้เร็วที่สุดโดยใช้เวลาไม่เกิน 5 วันผ่านทาง Tradesy ขณะที่ Givenchy, Chanel และ Louis Vuitton จะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ส่วนกระเป๋าของ Marc Jacobs ซึ่งมักจะลดราคาบ่อยกว่ายี่ห้อต่างๆที่กล่าวมาก่อนหน้านี้อาจต้องใช้เวลาเกินกว่า 6 สัปดาห์จึงจะขายออก ชื่อดีไซเนอร์ไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จในตลาดมือสอง ยกตัวอย่างเช่นกระเป๋าแบรนด์ดังอย่าง Balenciaga, Bottega, Veneta, Dior, Fendi, Prada และ Saint Laurent จะมีมูลค่าการขายต่อเฉลี่ยน้อยกว่าราคาขายปลีกถึงครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะ Dior, Fendi และ Prada จะมีส่วนต่างระหว่างราคาขายปลีกและมือสองสูงที่สุด
ดังนั้นหากคุณปล่อยปละละเลยกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นเวลาหลายๆปีหรือแม้แต่ตลอดช่วงชีวิตของคุณ คุณควรหาลู่ทางเพื่อขายต่อไปให้คนอื่นๆที่ต้องการมันจะดีกว่า คุณสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเสริมสร้างการลงทุนให้มั่นคงขึ้นเผื่อในกรณีที่คุณเบื่อกระเป๋า Neverfull หรือเริ่มรู้สึกว่า Birkin ไม่ใช่กระเป๋าที่เหมาะกับคุณ
