โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

3 วิธีคิดหลังจบความสัมพันธ์ ที่ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัว - เพจบันทึกนึกขึ้นได้

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 26 มี.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • เพจบันทึกนึกขึ้นได้

 

1. หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาจากคนรอบ ๆ ตัวว่า 

พอความสัมพันธ์มันจบลงแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงเค้าหรอก เลิกคิด

อย่าฟุ้งซ่านสิ ไปหาอะไรทำ จะอยู่เฉย ๆ ทำไม

แต่ลองคิดดูนะว่า เวลามีคนมาบอกว่า อย่าคิดถึงร่มสีแดงนะ

อย่านึกถึงมันนะ ห้ามเลย สิ่งที่มันแว้บเข้ามาในหัวคุณมันคืออะไร

ก็คือร่มสีแดง นั่นแหละที่โผล่ขึ้นมาในหัว

นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถควบคุมให้ตัวเองไม่คิดได้หรอก

ทีนี้ถ้าผมจะมาบอกคุณว่า อย่าไปคิดถึงเรื่องราวที่มันผ่านมาเลย

นั่นก็หมายความว่า คุณก็จะหยิบทุก ๆ เหตุการณ์ขึ้นมาบรรเลงกันอีกรอบ

แต่จริง ๆ คุณคิดได้นะ ซึ่งมันมีวิธีหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้คุณลองทำดู

สิ่งหนึ่งที่สำคัญเวลาเราเริ่มรู้สึกว่าเราจะคิดอะไร

คือการรู้ตัวว่า เราเริ่มคิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว

ผมอยากให้คุณเขียน หรือ อัดเสียงตัวเองก็ได้นะ

เอาแบบที่คุณถนัด แล้วก็สบายตัวสบายใจ

พยายามแยกตัวเองออกจากความรู้สึกก่อน

แล้วเขียนโมเมนต์ หรือเหตุการณ์อะไรก็ได้ ที่เค้าคนนั้นทำไม่ดีกับคุณ

ทำไมต้องเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีด้วย ?

ก็เพราะว่า โดยปกติแล้ว เมื่อเราอกหักเนี่ย

เรามักจะนึกถึงแต่เรื่องราวดี ๆ อารมณ์แบบ แต่มึง ตอนนั้นมันดีมากเลยนะ

มันจึงสำคัญมากที่เราจะต้องเขียนหรือพูดมันออกมาถึงสิ่งที่มันไม่ชอบมาพากล

สิ่งที่เค้าไม่ได้ให้เกียรติเรา สิ่งที่เค้าไม่ได้ทำดี ๆ กับเรา

หลังจากที่เขียนแล้ว ลองบอกกับตัวเองหน่อยว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น มันเป็นความผิดของใคร

หรือใครที่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์นั้น ๆ ใครเป็นคนพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

ใครคือคนที่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งต้องแฟร์นะ ว่าบางข้อ

คนที่ทำให้เหตุการณ์ไม่ดี ๆ มันเกิดขึ้น อาจจะเป็นตัวเราเอง

ซึ่งถ้ามันเป็นเพราะเราเอง มันก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องยอมรับ

แล้วก็สะท้อนมันกลับมาที่ตัวเอง เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า

มันเป็นเพราะเรา แต่ก็ไม่ใช่ลิสต์มาครบทุกข้อ แล้วก็มาโทษตัวเองอีกว่า

ก็เพราะว่าชั้นมันไม่ดีเอง เค้าเลยต้องไป

ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง เขียน หรืออัดมันออกมาในช่วงที่มีสติมากที่สุด

เพราะเมื่อไหร่ที่เราเข้าใจมัน เรารับรู้ถึงมัน เราจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรากำลังจะเดิน กำลังจะก้าวข้ามผ่านอะไรกันแน่

ความรู้สึกดี ๆ หรือเรื่องราวที่มันไม่ใช่

แต่เผลอเข้าใจว่ามันเป็นความผิดตัวเองแล้วก็คิดว่า

ไม่เป็นไรหรอก เรารับกับความผิดแบบนี้ของเค้าได้

เพราะมันจะเข้าสู่วงจรความเจ็บปวดที่คุณคุ้นเคย

เช่นคนนี้นะ มันทำให้เราเจ็บตลอด มันไม่เคยสนใจ มันตอบไลน์ช้า

คบกันมาตั้งนาน แค่ถามว่ากินข้าวรึยังยังไม่เคย พาไปไหนก็ไม่เคยไป

ไม่เคยสนใจความรู้สึก ไม่เคยง้อเราก่อน

โกรธเองกูก็ต้องง้อเองอีก ไม่เคยจำวันสำคัญอะไรได้เลย

หรือไม่เคยให้เกียรติเราเลย

แต่สุดท้ายเราเองก็ไปยอมรับสิ่งนั้นของเค้า แล้วก็กลับมาวนเวียนกับความรู้สึกแบบเดิม ๆ

ซึ่งมันน่าตลกนะ ถ้าเรารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราควรได้รับ

แต่ถ้าอยู่กับคนนี้แล้วเราไม่ได้รับมันหรอก แต่สุดท้ายเราก็ยังอยู่ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีวันได้รับมัน

2. คำพูดที่เราใช้กับทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต มันสามารถบอกเราได้นะว่า

จริง ๆ แล้วเรากำลังเจอกับอะไร เพราะฉะนั้น การเลือกใช้คำพูดที่พูดกับตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก

เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบอกกับตัวเองว่า ใจพัง ชีวิตพังยับเยิน

หัวใจแหลกออกมาเป็นเสี่ยง ๆ อกหักแบบที่ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

    ลองฟังดูดี ๆ คำพูดพวกนี้ มันดูเจ็บปวด แล้วก็รู้สึกว่า เออ มันแย่มาก ๆ เลยนะ

ลองเอาความหมายของมันมาคิดดูว่า เออ คำว่า พัง นี่มันหมายความว่า

มันเสีย จนซ่อมไม่ได้ อกหัก ใจพัง อะไรพวกนี้พอเกิดขึ้นแล้ว

มันจำเป็นต้องเปลี่ยน หรือซ่อมเหมือนสิ่งของไหม

ใช้คำพูดที่มันจำกัดความความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

จริง ๆ แล้วพอเราเลิกกับใครสักคน สิ่งที่มันเสีย มันพัง มันหัก

มันไม่ใช่ใจของเรา ไม่ใช่ตัวของเรา ไม่ใช่ชีวิตของเรา

แต่มันเป็นสิ่งที่เรากำลังเค้าสร้างมันขึ้นมา มันได้พังหรือเสียไป

แต่ชีวิตเรายังอยู่ ใจเรายังอยู่ มันอยู่ในเวอร์ชั่นที่เป็นตัวคุณเอง

คำพูดที่เราใช้บอกตัวเองในชีวิตมันสำคัญนะ

การที่เราบอกว่า ชีวิตเราพังไปหมดแล้ว

กับเราไม่สามารถทำให้ตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

ลองบอกกับตัวเองว่า เรากำลังเจอกับเรื่องที่มันกำลังทำให้ใจเราเจ็บปวด

ซึ่งเรากำลังหาวิธีให้มันกลับมาดีขึ้น

ฟังดูเหมือนไม่ต่าง แต่จริง ๆ มันต่างกัน

แล้วก็สำคัญมากเลยนะกับการเลือกหยิบคำหรือประโยคขึ้นมาพูดกับตัวเอง

ยิ่งพูดประโยคหรือคำที่มันแย่กับความรู้สึกของตัวเองขนาดไหน

มันก็เหมือนเราพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกตามคำพูดแบบนั้นไปด้วย

ซึ่งก็ไม่มีใครที่อยากจะได้ยินอะไรแบบนั้นหรอก จริงมั้ย ?

3. อย่างที่บอกไปว่า เราห้ามความคิดไม่ได้ใช่มั้ย

แต่รู้มั้ยว่า ความคิดเนี่ย มันก็เหมือนเสื้อผ้านะ

ซึ่งถ้าเราไม่ชอบเสื้อผ้าตัวไหน เราก็ถอด แล้วก็เปลี่ยนมันได้

อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือ ความคิดที่เกิดขึ้น ณ โมเม้นนั้น ๆ

มันไม่ใช่ตัวคุณนะ มันต้องแยกออกจากกัน เช่นความคิดที่บอกว่า เรามันยังไม่ดีพอ

เราทำไม่ได้หรอก เรามันอย่างนั้น อย่างนี้

จริง ๆ แล้วความคิดพวกนี้มันไม่ใช่คุณ มันก็เหมือนเสื้อผ้าที่คุณหยิบขึ้นมาใส่กับตัวเอง

ซึ่งแน่นอน เราเลือกได้ว่าจะใส่หรือไม่ใส่

เวลาแม่ซื้อเสื้อผ้าตัวไหนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่ได้ใส่มันออกไปไหน

เราไม่ได้บังคับตัวเองใส่เสื้อผ้าที่เราไม่ชอบออกไปใช่มั้ย

เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณมีความคิดอะไรบางอย่าง ป๊อปอัพขึ้นในใจ

คุณต้องถามตัวเองนะ ว่า เราชอบความคิดนั้นมั้ย

ความคิดนี้ ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้มั้ย

ความคิดนี้มันมีประโยชน์มั้ย ความคิดนี้ทำให้เราพ้นกับสิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้มั้ย

เวลาที่รู้สึกอะไรขึ้นมา ก็ถามตัวเองนะว่า

เออ เราชอบมั้ยความคิดที่มันแว้บ ๆ ขึ้นมารึเปล่า

แล้วความคิดที่เราใช้คิดทุก ๆ วันมันจะเป็นตัวที่จะทำให้ชีวิตในวันข้างหน้าเราดีขึ้นมั้ย

ส่วนตัวผมชอบวิธีนี้นะ เหมือนเราได้มีสติกับความคิดเวลาที่มันต้องรู้สึกถึงอะไร

ที่เรารู้สึกแล้วมันไม่ได้ดีกับตัวเองก็ถามว่า เออ ชอบความคิดนี้มั้ย คิดแล้วได้อะไร

มันอาจจะยังคิดอยู่นะ แต่มันก็รู้สึกว่า เออ มันแค่ความคิดที่เราพอได้สติกลับมา

ก็ไปหาความคิดอื่นมาใส่แทน

เราเลิกคิดไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดได้

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0