1. หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาจากคนรอบ ๆ ตัวว่า
พอความสัมพันธ์มันจบลงแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงเค้าหรอก เลิกคิด
อย่าฟุ้งซ่านสิ ไปหาอะไรทำ จะอยู่เฉย ๆ ทำไม
แต่ลองคิดดูนะว่า เวลามีคนมาบอกว่า อย่าคิดถึงร่มสีแดงนะ
อย่านึกถึงมันนะ ห้ามเลย สิ่งที่มันแว้บเข้ามาในหัวคุณมันคืออะไร
ก็คือร่มสีแดง นั่นแหละที่โผล่ขึ้นมาในหัว
นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถควบคุมให้ตัวเองไม่คิดได้หรอก
ทีนี้ถ้าผมจะมาบอกคุณว่า อย่าไปคิดถึงเรื่องราวที่มันผ่านมาเลย
นั่นก็หมายความว่า คุณก็จะหยิบทุก ๆ เหตุการณ์ขึ้นมาบรรเลงกันอีกรอบ
แต่จริง ๆ คุณคิดได้นะ ซึ่งมันมีวิธีหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้คุณลองทำดู
สิ่งหนึ่งที่สำคัญเวลาเราเริ่มรู้สึกว่าเราจะคิดอะไร
คือการรู้ตัวว่า เราเริ่มคิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
ผมอยากให้คุณเขียน หรือ อัดเสียงตัวเองก็ได้นะ
เอาแบบที่คุณถนัด แล้วก็สบายตัวสบายใจ
พยายามแยกตัวเองออกจากความรู้สึกก่อน
แล้วเขียนโมเมนต์ หรือเหตุการณ์อะไรก็ได้ ที่เค้าคนนั้นทำไม่ดีกับคุณ
ทำไมต้องเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีด้วย ?
ก็เพราะว่า โดยปกติแล้ว เมื่อเราอกหักเนี่ย
เรามักจะนึกถึงแต่เรื่องราวดี ๆ อารมณ์แบบ แต่มึง ตอนนั้นมันดีมากเลยนะ
มันจึงสำคัญมากที่เราจะต้องเขียนหรือพูดมันออกมาถึงสิ่งที่มันไม่ชอบมาพากล
สิ่งที่เค้าไม่ได้ให้เกียรติเรา สิ่งที่เค้าไม่ได้ทำดี ๆ กับเรา
หลังจากที่เขียนแล้ว ลองบอกกับตัวเองหน่อยว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น มันเป็นความผิดของใคร
หรือใครที่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์นั้น ๆ ใครเป็นคนพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ใครคือคนที่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งต้องแฟร์นะ ว่าบางข้อ
คนที่ทำให้เหตุการณ์ไม่ดี ๆ มันเกิดขึ้น อาจจะเป็นตัวเราเอง
ซึ่งถ้ามันเป็นเพราะเราเอง มันก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องยอมรับ
แล้วก็สะท้อนมันกลับมาที่ตัวเอง เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า
มันเป็นเพราะเรา แต่ก็ไม่ใช่ลิสต์มาครบทุกข้อ แล้วก็มาโทษตัวเองอีกว่า
ก็เพราะว่าชั้นมันไม่ดีเอง เค้าเลยต้องไป
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง เขียน หรืออัดมันออกมาในช่วงที่มีสติมากที่สุด
เพราะเมื่อไหร่ที่เราเข้าใจมัน เรารับรู้ถึงมัน เราจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรากำลังจะเดิน กำลังจะก้าวข้ามผ่านอะไรกันแน่
ความรู้สึกดี ๆ หรือเรื่องราวที่มันไม่ใช่
แต่เผลอเข้าใจว่ามันเป็นความผิดตัวเองแล้วก็คิดว่า
ไม่เป็นไรหรอก เรารับกับความผิดแบบนี้ของเค้าได้
เพราะมันจะเข้าสู่วงจรความเจ็บปวดที่คุณคุ้นเคย
เช่นคนนี้นะ มันทำให้เราเจ็บตลอด มันไม่เคยสนใจ มันตอบไลน์ช้า
คบกันมาตั้งนาน แค่ถามว่ากินข้าวรึยังยังไม่เคย พาไปไหนก็ไม่เคยไป
ไม่เคยสนใจความรู้สึก ไม่เคยง้อเราก่อน
โกรธเองกูก็ต้องง้อเองอีก ไม่เคยจำวันสำคัญอะไรได้เลย
หรือไม่เคยให้เกียรติเราเลย
แต่สุดท้ายเราเองก็ไปยอมรับสิ่งนั้นของเค้า แล้วก็กลับมาวนเวียนกับความรู้สึกแบบเดิม ๆ
ซึ่งมันน่าตลกนะ ถ้าเรารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราควรได้รับ
แต่ถ้าอยู่กับคนนี้แล้วเราไม่ได้รับมันหรอก แต่สุดท้ายเราก็ยังอยู่ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีวันได้รับมัน
2. คำพูดที่เราใช้กับทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต มันสามารถบอกเราได้นะว่า
จริง ๆ แล้วเรากำลังเจอกับอะไร เพราะฉะนั้น การเลือกใช้คำพูดที่พูดกับตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบอกกับตัวเองว่า ใจพัง ชีวิตพังยับเยิน
หัวใจแหลกออกมาเป็นเสี่ยง ๆ อกหักแบบที่ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ลองฟังดูดี ๆ คำพูดพวกนี้ มันดูเจ็บปวด แล้วก็รู้สึกว่า เออ มันแย่มาก ๆ เลยนะ
ลองเอาความหมายของมันมาคิดดูว่า เออ คำว่า พัง นี่มันหมายความว่า
มันเสีย จนซ่อมไม่ได้ อกหัก ใจพัง อะไรพวกนี้พอเกิดขึ้นแล้ว
มันจำเป็นต้องเปลี่ยน หรือซ่อมเหมือนสิ่งของไหม
ใช้คำพูดที่มันจำกัดความความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
จริง ๆ แล้วพอเราเลิกกับใครสักคน สิ่งที่มันเสีย มันพัง มันหัก
มันไม่ใช่ใจของเรา ไม่ใช่ตัวของเรา ไม่ใช่ชีวิตของเรา
แต่มันเป็นสิ่งที่เรากำลังเค้าสร้างมันขึ้นมา มันได้พังหรือเสียไป
แต่ชีวิตเรายังอยู่ ใจเรายังอยู่ มันอยู่ในเวอร์ชั่นที่เป็นตัวคุณเอง
คำพูดที่เราใช้บอกตัวเองในชีวิตมันสำคัญนะ
การที่เราบอกว่า ชีวิตเราพังไปหมดแล้ว
กับเราไม่สามารถทำให้ตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ลองบอกกับตัวเองว่า เรากำลังเจอกับเรื่องที่มันกำลังทำให้ใจเราเจ็บปวด
ซึ่งเรากำลังหาวิธีให้มันกลับมาดีขึ้น
ฟังดูเหมือนไม่ต่าง แต่จริง ๆ มันต่างกัน
แล้วก็สำคัญมากเลยนะกับการเลือกหยิบคำหรือประโยคขึ้นมาพูดกับตัวเอง
ยิ่งพูดประโยคหรือคำที่มันแย่กับความรู้สึกของตัวเองขนาดไหน
มันก็เหมือนเราพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกตามคำพูดแบบนั้นไปด้วย
ซึ่งก็ไม่มีใครที่อยากจะได้ยินอะไรแบบนั้นหรอก จริงมั้ย ?
3. อย่างที่บอกไปว่า เราห้ามความคิดไม่ได้ใช่มั้ย
แต่รู้มั้ยว่า ความคิดเนี่ย มันก็เหมือนเสื้อผ้านะ
ซึ่งถ้าเราไม่ชอบเสื้อผ้าตัวไหน เราก็ถอด แล้วก็เปลี่ยนมันได้
อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือ ความคิดที่เกิดขึ้น ณ โมเม้นนั้น ๆ
มันไม่ใช่ตัวคุณนะ มันต้องแยกออกจากกัน เช่นความคิดที่บอกว่า เรามันยังไม่ดีพอ
เราทำไม่ได้หรอก เรามันอย่างนั้น อย่างนี้
จริง ๆ แล้วความคิดพวกนี้มันไม่ใช่คุณ มันก็เหมือนเสื้อผ้าที่คุณหยิบขึ้นมาใส่กับตัวเอง
ซึ่งแน่นอน เราเลือกได้ว่าจะใส่หรือไม่ใส่
เวลาแม่ซื้อเสื้อผ้าตัวไหนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่ได้ใส่มันออกไปไหน
เราไม่ได้บังคับตัวเองใส่เสื้อผ้าที่เราไม่ชอบออกไปใช่มั้ย
เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณมีความคิดอะไรบางอย่าง ป๊อปอัพขึ้นในใจ
คุณต้องถามตัวเองนะ ว่า เราชอบความคิดนั้นมั้ย
ความคิดนี้ ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้มั้ย
ความคิดนี้มันมีประโยชน์มั้ย ความคิดนี้ทำให้เราพ้นกับสิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้มั้ย
เวลาที่รู้สึกอะไรขึ้นมา ก็ถามตัวเองนะว่า
เออ เราชอบมั้ยความคิดที่มันแว้บ ๆ ขึ้นมารึเปล่า
แล้วความคิดที่เราใช้คิดทุก ๆ วันมันจะเป็นตัวที่จะทำให้ชีวิตในวันข้างหน้าเราดีขึ้นมั้ย
ส่วนตัวผมชอบวิธีนี้นะ เหมือนเราได้มีสติกับความคิดเวลาที่มันต้องรู้สึกถึงอะไร
ที่เรารู้สึกแล้วมันไม่ได้ดีกับตัวเองก็ถามว่า เออ ชอบความคิดนี้มั้ย คิดแล้วได้อะไร
มันอาจจะยังคิดอยู่นะ แต่มันก็รู้สึกว่า เออ มันแค่ความคิดที่เราพอได้สติกลับมา
ก็ไปหาความคิดอื่นมาใส่แทน
เราเลิกคิดไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดได้
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์