โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เมื่อ BEC – GRAMMY ปรับตัวสู้! บนความหวังครั้งใหม่ที่จะเรียกความเชื่อมั่น

Wealthy Thai

อัพเดต 08 ส.ค. 2566 เวลา 11.04 น. • เผยแพร่ 28 พ.ค. 2564 เวลา 08.58 น. • This’s Alano

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมสื่อมีการแข่งการกันอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทีวีที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเพิ่มขึ้นของช่องทีวีดิจิตอล รวมทั้งการเกิดขึ้นของสื่อออนไลน์ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ยิ่งส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาปรับตัวลดลง
จากสถานการณ์ดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเม็ดเงินสื่อโฆษณาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ฝันร้ายของหุ้นหุ้นสื่อก็เข้ามาอีกครั้ง คือ การระบาดของ COVID-19 ที่ถือเป็นหนึ่งในแรงกดดัน ทำให้ไม่สามารถถ่ายทำรายการต่างๆได้เหมือนปกติ รวมถึงการงานคอนเสิร์ต อีเว้นท์ต่างๆ ก็ต้องชะลอไปอีกด้วย และผู้ประกอบการยังชะลอการใช้เม็ดเงินลงสื่อโฆษณาอีกด้วย
แรงกดดันนี้ทำให้หลายองค์กรสื่อต่างปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้ก้าวผ่านเหตุการณ์กดดันเหล่านี้ไปให้ได้ และ BEC หรือ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ก็เช่นกัน ได้ประกาศปรับโครงสร้างรายการครั้งใหญ่ เพื่อหวังเรียกคืนเรตติ้งช่องทีวีกลับคืนมา โดยประเด็นที่น่าจับตา คือ การดึงผู้ประกาศข่าวชื่อดัง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” กลับมาทำให้ที่รายการข่าวอีกครั้ง และถือว่ามีกระแสตอบรับที่ดีต่อแฟนคลับช่อง 3 อย่างมา ทำให้เรตติ้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่อีกหนึ่งบริษัทที่ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่อย่าง GRAMMY หรือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ค่ายเพลงชั้นนำของไทย รวมทั้งมีธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียม ธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจโฮม ช้อปปิ้ง และร่วมลงทุนในธุรกิจอื่น ที่ล่าสุดได้ประกาศการร่วมทุนข้ามชาติกับบริษัทยักษ์ใหญ่แดนจิมกิอย่าง YG Entertainmentดังนั้นทีมข่าว Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาหาคำตอบด้วยกันว่า ทั้ง 2 บริษัทนี้จะมีความน่าสนใจอย่างไรกันบ้าง

BEC สรยุทธเป็นบวกต่อผลประกอบการมาก

เริ่มจาก BEC นับตั้งแต่ รายการข่าวของช่อง 3 มีการปรับกลยุทธ์ ต้อนรับการกลับมาคืนจอทำหน้าที่กรรมกรข่าวของ ‘สรยุทธ’ ทำให้รายการข่าวช่อง 3 กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง โดยจะเห็นจากการก้าวกระโดดของรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” และ “เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ซึ่งสรยุทธกลับมาทำหน้าที่ผู้ประกาศอีกครั้ง ทำให้เรตติ้งและยอดชมออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ยังทำให้เรตติ้งรายการข่าวอื่น ๆ ของช่อง 3 ขยับขึ้นพร้อมกันยกแผงอีกด้วย
หรือความหวังครั้งใหม่ของช่อง 3 จะเป็นการกลับมาอ่านข่าวครั้งแรกในรอบ 5 ปี ของกรรมกรข่าวอย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” เห็นได้จากเรตติ้งและยอดชมออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังติอ Trend Twitter ประเทศไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 จากผู้คนพูดถึงมากที่สุดอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเรตติ้งช่อง 3 เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง และรายการติดกระแสอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นของ BEC ก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน จนทำจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี
มุมมองของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เม็ดเงินโฆษณาเดือน เม.ย.64เติบโต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานต่ำปีก่อน แต่ลดลง 6%จากเดือนก่อนหน้า ตามฤดูกาลและได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รอบสามเล็กน้อย
โดยสื่อทีวี (ภาคพื้นดิน) ยังครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด และมีการเติบโต 36%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เรตติ้งทีวีช่อง 3 ฟื้นตัวโดดเด่นหลังคุณสรยุทธกลับมาทำหน้าที่พิธีกรข่าว ส่วนโรงหนังส่วนใหญ่ยังต้องปิดให้บริการจนถึงสิ้นเดือน พ.ค.21 แต่ Line up หนังจาก Hollywood ยังคงเตรียมทยอยเข้าฉายในครึ่งหลังของปี 64 เหมือนเดิม จึงปรับเพิ่มน้ำหนักกลุ่มฯ เป็น Bullish (เดิม Neutral) และเลือก BEC และ WORK เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ ในช่วงนี้
พร้อมยังบอกอีกว่า คงคำแนะนำ ซื้อ BEC ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 12.40 บาท (เดิม 12 บาท) และยังเลือกเป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม เนื่องจาก 1.การกลับมาของคุณสรยุทธเป็นบวกต่อผลประกอบการ BEC มากกว่าคาด ล่าสุดอัตราใช้เวลาโฆษณารายการข่าวคุณสรยุทธเพิ่มมาอยู่ที่ 70-90% 2.รายได้จาก 2 ช่องทางใหม่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปิดยอดขายไปแล้ว 60% ของเป้า และ3.ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีจากผังรายการที่แข็งแรงทั้งละครและข่าว

เรื่องเล่ามีเรตติ้งเพิ่มขึ้น

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองว่าแนวโน้มไตรมาส 2/64 เพิ่มขึ้นสวนกระแสภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาที่คาดจะลดลงในช่วง COVID-19 ระบาดระลอก 3 เนื่องจากเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มข่าว “เรื่องเล่า” ที่มีเรตติ้งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั่วประเทศ 20-30% และกลุ่มคนเมืองเพิ่มขึ้น 25-40% หลังจากคุณสรยุทธ์ ได้กลับมาดำเนินรายการตั้งแต่ต้น พ.ค.64มีอัตราการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 75% จาก เดือนเม.ย.ที่ 60%
ประกอบกับการปรับผังรายการใหม่ขยายเวลาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การขายนาทีโฆษณาเพิ่มขึ้นตาม และในช่วงไตรมาส 2 ยังมีรายการถ่ายทอดสดกีฬาวอลเล่ย์บอลที่ประเทศอิตาลี ที่มีอัตราการขายสื่อเต็มแล้ว ทำให้บริษัทมั่นใจว่าเรตติ้งจะเพิ่มขึ้นได้อีก รวมถีงยังมีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น 4 เรื่อง 11 ประเทศ
สำหรับอัตราค่าโฆษณาคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 3/64 หลังจากเรตติ้งเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 จากรายการข่าวหลังจากคุณสรยุทธ์กลับมาดำเนินรายการและละครใหม่ๆที่ได้รับการตอบรับดี ส่วนสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบบ้างในการถ่ายทำผลิตละคร 1-2 เรื่องที่จะกระทบในไตรมาส 4/64โดยวางเป้าหมายการขาย content ไปต่างประเทศมากกว่าปีที่ผ่านมา 5 เรื่อง ด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร บริษัทคาดจะลดลงเทียบกับปีที่ผ่านมาได้ 10% จากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ส่งผลให้ผลประกอบการปีนี้เติบโตขึ้น
จากการปรับโครงสร้างองค์กรธุรกิจในปีที่ผ่านมา ประกอบกับการต่อยอดรายได้จาก content ในมือไปต่างประเทศมากขึ้นจากกลยุทธ์ “ Single content , Multiple platform ” จึงคาดกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 638 ล้านบาท และคาดกำไรเติบโตต่อเนื่อง 2 ปีข้างหน้าเฉลี่ย 30% (CAGR2y) จากคาดรายได้โฆษณาธุรกิจทีวีปี 2564 เพิ่มขึ้น 13% รวมทั้งคาดปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 9% และปี 2566 คาดเพิ่มขึ้น 9% จากคาดอัตราการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 65-75% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน คาดสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้นจาก COVID-19 ผ่อนคลายในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ประกอบกับการออกคอนเทนต์ใหม่และการปรับผังรายการขยายเวลาละครและข่าวมากขึ้น และคาดรายได้จาก Digital platform และการขายคอนเทนต์ไปต่างประเทศเติบโต 20% จากการขยายประเทศใหม่ๆมากขึ้น อัตรามาร์จิ้นคาดเพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและการปรับลดพนักงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
รวมทั้งจากการปรับโครงสร้างธุรกิจองค์กรใหม่ รวมถึงการขยายแพลตฟอร์มออนไลน์และการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ช่วยสร้างกำไรเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยคาดบริษัทจะจ่ายเงินปันผลหลังจากผลประกอบการเป็นกำไร จากนโยบาย Dividend Payout Ratio ไม่ต่ำกว่า 90% และบริษัทมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง คาด Net Debt/Equity ปี 64 เพียง 0.02 เท่า ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท คาด Dividend Yield ปี 64 อยู่ที่ 2.8%

BEC ก้าวเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า BEC ก้าวเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ โดยปี 64 จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว Outlook เป็นบวกมากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น แม้มีการระบาดของ COVID-19ระลอก 3แต่เเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นในครึ่งหลัง 64 หลังประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะเริ่มใช้สื่อโฆษณามากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เพื่อเตรียมรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลัง COVID-19ระลอก 3คลี่คลาย เชื่อมั่นว่าผลประกอบการไตรมาส 1/64จะเป็นจุดต่ำสุดของปี และจะเห็นการขยายตัวของผลประกอบการเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อนตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป
ทั้งจากการตอบรับที่ดีจากผู้ชมต่อรายการทั้งหมดครอบครัวข่าว 3หลังคุณสรยุทธกลับมา ทำให้เรตติ้งรายการปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งยังมีการออกอากาศละครใหม่เพิ่มขึ้น และมีรายได้จาก simulcast มาช่วยหนุน ซึ่งรายได้นี้ส่วนใหญ่ลง bottom line อย่างไรก็ตาม โดยคาดว่าจะเห็นการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 จากแนวโน้มผลประกอบการที่ดีกว่าคาดและ SG&A expenses ที่ต่ำกว่าคาดมาก
ดังนั้นปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น 57% และปี 65 ขึ้น 54%เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายที่ลดลงมากจากการปรับโครงสร้างองค์กรและการขายเงินลงทุนใน Tero ดังนั้นประเมินกำไรสุทธิปี 64 ที่ 865ล้านบาท ผลประกอบการ turnaround ครั้งแรกในรอบ 3ปี และเป็นกำไรสูงสุดในรอบ 5ปี บนสมมติฐาน รายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน
ทั้งนี้หนุนโดยรายได้โฆษณา ขยายตัว 12%จากปีก่อน จากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัวและรายได้ copyright & sale of goods เพิ่มขึ้น 10%จากปีก่อน และ EBIT margin ขยายตัวจากปีก่อน จากการรับรู้ cost saving จากการลด content cost, ปรับ organization structure เต็มปี และการยกเว้นค่า MUX fee เต็มปี
ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 19.00 บาท (เดิม ราคาเป้าหมาย 12.00 บาท) โดยเชื่อมั่นว่ายังไม่สะท้อนกำไรที่จะ turnaround ในปี 64 และเติบโตต่อเนื่อง 29% ในปี 65 อีกทั้งยังมี upside จากการกลับมาทำข่าวของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา

GRAMMY ผนึก YG พัฒนาศิลปินสู่ระดับโลก

ขณะที่ GRAMMYก่อนหน้านี้ได้ส่งบริษัท โอ ช้อปปิ้ง จำกัด หรือ O Shopping ผู้นำแพลตฟอร์ม TV Home Shopping ของไทย ภายใต้กลุ่มบริษัท เข้าร่วมทุนกับ KISS โดยร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท โอทู คิส จำกัด หรือ O2 KISS แล้วเสร็จในไตรมาส 2/2564ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดย KISS ถือหุ้น 40% และ O Shopping ถือหุ้น 60% ลุยตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ
ล่าสุดได้ร่วมทุน YG Entertainment ซึ่งเป็นพันธมิตรค่ายเพลงยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ด้วยการประกาศจัดตั้งบริษัทพัฒนาศิลปินแบบครบวงจร YG”MM (วายจีเอ็มเอ็ม) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่ดีของเด็กไทยในการจะก้าวสู่การเป็นศิลปินระดับอินเตอร์ โดยบริษัท YG”MM (วายจีเอ็มเอ็ม) มีทุนจดทะเบียนมูลค่า 200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นเป็น GMM Grammy จะถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ YG Entertainment ถือหุ้นในสัดส่วน 49%
ทั้งนี้บริษัท YG”MM (วายจีเอ็มเอ็ม) เกิดขึ้นจากการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่าง GMM Grammy และ YG Entertainment ซึ่งเป็นการดึงจุดแข็งของ 2 บริษัทมาผนึกกำลังในการสร้างโอกาสทางธุรกิจเพลงเพื่อการพัฒนาและสร้างศิลปินใหม่ให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลกแบบครบวงจร รวมทั้งเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเพลงในประเทศไทยอีกด้วย โดยการตกลงทำสัญญาในครั้งนี้มีพันธกิจหลักร่วมกัน ด้านการลงทุนและผสมผสานทรัพยากรต่างๆ ทั้งทีมบุคลากร เทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญ และระบบการดำเนินงานต่างๆ
นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเพลงยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก แต่เราต้องยอมรับความจริงว่าโลกเปิดกว้างสำหรับผู้ฟังตามความก้าวล้ำของ Technology ศิลปินจากทุกทวีปทั่วโลกก็เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเรามีฝันที่จะพาศิลปินไทยไประดับโลกการเดินทางเพียงลำพังอาจไปสู่เป้าหมายได้ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ บริษัทฯ จึงได้พูดคุยเจรจากับพาร์ทเนอร์ที่มีวิชั่นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็น ‘The Best of Asia’ นั่นคือ YG Entertainment โดยการ JV ในครั้งนี้ คือ การผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายในการเฟ้นหา พัฒนา และ ส่งเสริมศิลปินรุ่นใหม่ให้เป็นศิลปินแถวหน้าในระดับโลกควบคู่กับการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวร่วมกัน
วันนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นก้าวใหม่ที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดบริษัทร่วมทุนกับ YG Entertainment หนึ่งในผู้นำที่แข็งแกร่งด้านการพัฒนาศิลปินระดับโลก ภายใต้บริษัทใหม่ YG”MM (วายจีเอ็มเอ็ม) ซึ่งการ Synergy ในครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างศิลปิน Boy Band และ Girl Group ให้เปิดตัวภายใน 5 ปีข้างหน้า ตามหลักสูตรของ YG Entertainment และ GMM Grammyโดยจะเฟ้นหาและพัฒนาศิลปินสู่ระดับโลกแบบครบวงจร
นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว GRAMMYยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตาคือ การนําบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปครั้งแรก (IPO) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดย ONEE ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 496.25ล้านหุ้น มีบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์
สำหรับ ธุรกิจของ ONEEที่เราคุ้นตาก็คือ ช่องทางโทรทัศน์ ช่องทางออนไลน์ในประเทศ และช่องทางต่างประเทศผ่านผู้ให้บริการช่องทางโทรทัศน์และช่องทางออนไลน์ในต่างประเทศ ในการเผยแพร่รายการผ่านช่องทางโทรทัศน์ ผ่าน "ช่อง ONE31" ซึ่งเป็นช่องที่กลุ่มบริษัทเป็นผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลหมวดหมู่ทั่วไปความชัดสูง (HD) และ "ช่อง GMM25" ซึ่งกลุ่มบริษัททำหน้าที่เป็นตัวแทนการตลาด เป็นหลัก
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ระบุว่า ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ประเด็นร่วมทุน YG Entertainment ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้น GRAMMY คาดเกิดแรงเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม ต้องระวังสภาพคล่องที่ค่อนข้างน้อยในหุ้น GRAMMY เนื่องจาก Free Float ต่ำเพียง 20.23%

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0