โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

16 เกมอินดี้น่าเล่นและน่าจับตามองประจำปี 2019

GamingDose

เผยแพร่ 17 ธ.ค. 2561 เวลา 09.28 น. • GamingDose - ข่าวเกม รีวิวเกม บทความเกมจากเกมเมอร์ตัวจริง
16 เกมอินดี้น่าเล่นและน่าจับตามองประจำปี 2019

หลังจากที่ทาง GamingDose ได้นำเสนอ “เปิดโผเกมน่าเล่น 2019” และ “9 เกม Exclusive น่าเล่นบน Nintendo Switch ประจำปี 2019” เรียกได้ว่าน่าจะครบครัน และไม่น่าพลาดเกมไหนอีกแล้วใช่ไหม ?

เปล่าครับ ส่วนตัวผู้เขียนแล้วนั้นกลับมองว่ามันยังไม่ครบถ้วนอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะเป็นเกมที่เราได้เปิดโผหรือจะเป็นเกม Exclusive บน Nintendo Switch แล้ว ทุก ๆ เกมก็ล้วนเป็นเกมเกรดระดับ A-AAA ทั้งนั้น อาจจะมีเกมอินดี้แฝงมาบ้าง แต่ก็มีน้อยมาก ซึ่งนั้นหมายความว่าในปี 2019 จะไม่ค่อยมีเกมอินดี้ออกมาวางจำหน่ายรึเปล่า ?? ถึงไม่มีการพูดถึงในส่วน ๆ นี้กัน

โดนคำตอบที่ผู้เขียนไปค้นหามาได้นั้น ทางผู้เขียนคงต้องขอบอกว่า “ไม่รอดแน่นอน”ไม่ว่าคุณจะสายเกมเกรด AAA สายเกม Exclusive หรือแม้กระทั่งเกมอินดี้ก็ตาม ในปี 2019 ก็ยังจะเป็นปีที่ทำให้เกมเมอร์แทบจะทุกกลุ่มเกิดอาการทรัพย์จาง ใช่แล้วครับ ผู้เขียนกำลังบอกว่าปี 2019 นี่คืออีกปีทองของเกมอินดี้เลย เพราะมีเกมอินดี้มาจำนวนมากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นเกม “น้ำดี” แห่ออกมาวางจำหน่ายในปีนี้ซะเยอะ ซึ่งบางเกมยังไม่ประกาศวันอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะจำหน่ายปี 2019 และบางเกมก็ยืินยันออกมาแล้วว่าจะจำหน่ายในปี 2019 เรียกได้ว่าต่อให้คุณเล่นแต่เกมอินดี้แต่คุณก็ต้องมีเงินในกระเป๋าเยอะ ๆ แบบเกมเมอร์สายอื่น ๆ อยู่ดี

เพราะฉะนั้นไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ทาง GamingDose จึงขอนำเสนอ 16 เกมอินดี้น่าเล่นและน่าจับตามองประจำปี 2019 ว่าจะมีเกมอินดี้อะไรที่น่าสนใจกันบ้าง โดยปีนี้อย่างที่บอกไปว่าน่าจะเป็นปีทองของเกมอินดี้ที่เดือดดาลอย่างแน่นอน แต่จะมีเกมอะไรกันบ้างนั้น เรามาดูกันเลยดีกว่าครับ

Eastward (Pixpil Games)

เกมอินดี้อาร์พีจีผจญภัยจากทีมงานแห่งดินแดนเซี่ยงไฮ้อย่าง Pixpil Games ที่ได้จำลองโลกในอนาคตอันใกล้ที่สังคมเรื่มเสื่อมโทรมและมนุษย์ก็มีจำนวนน้อยลงไปทุกที แต่ในโลกอันโหดร้ายเหล่านี้ก็ได้มีคนเหมืองนามว่า “John” ที่ได้ทำการสำรวจถ้ำใต้ดินลึกและได้ค้นพบสาวน้อยนามว่า “Sam” โดยพวกเขาได้จับมือกันเพื่อหนีออกไปจากเมือง และนี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยเพื่อหาต้นกำเนิดของพวกเขาและผู้ที่อยู่เบื้องหลังโลกอันเสื่อมโทรมเหล่านี้

ตัวเกมได้กลิ่นอายเกมยุค 1980-1990s ค่อนข้างหนักพอสมควรในด้านของเกมเพลย์ แต่ในด้านของกราฟิกแล้วนั้นถือว่าเป็นทีเด็ดของเกมนี้เลยก็ได้ เพราะ Eastward ได้ใช้กราฟิกแบบ Pixel Art แต่มีการใช้ระบบแสงเงาในแบบของเกมยุคใหม่ ทำให้ถึงแม้ภาพในเกมอาจจะดูไม่อล้ังการและล้ำยุคมาก แต่เพียงแค่เพิ่มแสงเงายุคใหม่เข้าไปก็ช่วยทำให้เกมภาพ Pixel Art แบบนี้สวยขึ้นมาเป็นกองราวกับเป็นเกมที่เกิดมาในยุคนี้กันเลย

นอกจากเรื่องของคุณภาพกราฟิกแล้ว อาร์ตสไตล์กราฟิกหรือสไตล์ของงานศิลป์ก็ถือว่าเป็นทีเด็ดไม่แพ้กัน Eastward ได้พยายามสร้างโลกที่ให้คุณได้อารมณ์แนวการ์ตูนอนิเมชั่นยุค 1990s โดยเฉพาะกับ “Studio Ghibli” ตำนานแห่งอนิเมชั่นยุค 1990s ทำให้อาร์ตสไตล์ในเกมนี้ดูเป็นเอกลักษณ์และสวยงามในแบบของมันเอง และนั้นทำให้ Eastward เป็นเกมที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในปี 2019 (ซึ่งไม่รู้ว่าจะพัฒนาเสร็จขายทันไหม) ครับ

Tunic (Finji)

อีกหนึ่งเกมอินดี้ทีเด็ดระดับมองข้ามไม่ได้ กับเกม Furry น้อยผจญภัยอย่าง” Tunic” ที่เกม ๆ นี้ได้ไปเปิดตัวถึงงาน E3 2018 ของทาง Microsoft ทำให้เรามั่นใจได้ระดับนึงว่านี่คือเกมที่มีโอกาสขึ้นหิ้งและกลายเป็นอินดี้้น้ำดีเฉกเช่นเดียวกับเกมที่ผ่านมาอย่าง Ori, Cuphead อย่างแน่นอน

Tunic ได้นำเสนอเกมเพลย์ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นระบบฟันหญ้า ตีไห การโจมตี แก้ปริศนา เรียกได้ว่าเกมนี้ถือว่าเป็น Zelda Clone อีกเกมนึงที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้วตัวเกมยังนำเสนอกราฟิกในมุมมองของ “Isometric” ที่มีการใช้กราฟิกที่ดูเรียบง่ายสบายตา แต่ก็มีการใส่เทคนิคแสงเงาของเกมยุคใหม่ ทำให้เกม ๆ นี้มีภาพที่สวยงามเป็นอย่างมากถึงแม้จะใช้กราฟิกที่เรียบง่ายก็ตาม

สำหรับผู้เขียนแล้ว ในฐานะที่ผู้เขียนค่อนข้างจะเป็นแฟน The Legend of Zelda แล้ว เจ้า Tunic ถือว่าเป็นเกมที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะทางผู้เขียนก็ชอบเล่นเกม Action Adventure สไตล์นี้อยู่แล้ว และไม่เกี่ยงว่าจะต้องเป็นเกมเกรด AAA เท่านั้น ดังนั้นหากมีโอกาสได้เล่นทางผู้เขียนจะสอยมาสัมผัสความดีงามนี้แน่ ๆ ครับ

Wargroove (Chucklefish)

เรียกได้ว่าพัฒนากันอย่างยาวนานจริง ๆ สำหรับเจ้าเกม Wargroove ที่ดูเหมือนว่าเราจะมีวี่แววจะได้เล่นกันในปี 2019 กันแล้ว ด้วยระบบหลาย ๆ อย่างที่กำลังเข้าที่เข้าทางและใกล้เคียงกับคำว่าเสร็จขึ้นไปทุกที นี่คือเกมจากยักษ์ใหญ่มือสองของวงการเกมอินดี้อย่าง “Chucklefish” ที่เป็นรองให้กับแค่ “Klei” เท่านั้น

Wargroove ได้นำเสนอเกมเพลย์ในรูปแบบ Turn-Based Strategy ในรูปแบบ Tactic ที่ในสมัยนี้นอกจากซีรี่ส์เกมใหญ่อย่าง Fire Emblem, แล้ว ก็แทบไม่มีเกมไหนที่ใช้เกมเพลย์แบบนี้อีกเลย เรียกได้ว่าหาเล่นกันได้ยากมากสำหรับเกมแนวนี้ ทำให้ Wargroove กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าคาดหวังที่สุด

ตัวเกม Wargroove พยายามจะนำกลิ่นอายของเกมวางแผนชื่อดังของ Nintendo ทั้งสองเกมมาผสานรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นเกมกลยุทธ์ยุคโมเดิร์นอย่างซีรี่ส์ Wars โดยเฉพาะกับภาค Advance Wars และเกมกลยุทธ์ยุคกลางอย่างซีรี่ส์ Fire Emblem มาประยุกต์และผสานกัน แถมทำได้อย่างลงตัวและดีงามอีกด้วย เรียกได้ว่าใครที่โหยหาเกมแนวนี้ นอกจาก Fire Emblem แล้ว เกมนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองและน่าเล่นที่สุดเพราะแทบไม่มีใครจะทำเกมแนวนี้ออกมาให้เล่นกันอีกแล้ว

Deltarune (Toby Fox)

การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ “Radiation” หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ “Toby Fox” ผู้สร้างเกมอินดี้ชื่อดังก้องโลกอย่าง Undertale มาในคราวนี้เขากลับมาพร้อมทีมงานที่มีสเกลใหญ่ขึ้น กับโปรเจคใหม่ที่เป็นการนำ Undertale มาเล่าในมุมมองใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “Deltarune” ซึ่งได้มีการปล่อยตัวเกมเดโม่บทแรกออกมาให้เล่นกันแล้วครับ

ถึงตัวเกมจะยังไม่ประกาศชัดเจนว่าจะวางจำหน่ายในปีหน้า แต่หากดูจากตัวเกมเดโม่และเนื้อหาที่มีการปูมาแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เราอาจจะได้เล่น Deltarune กันในปี 2019 ตัวเกมยังคงรักษากลิ่นอายและรสชาตืของ Undertale ได้อย่างครบถ้วน และมีการพัฒนาขึ้นแทบจะทุกด้าน โดยทีเด็ดที่สุดของเกม ๆ นีั้ก็คงเป็นเนื้อเรื่องและเพลงประกอบอันแสนดีงามในแบบของ Undertale ที่เรียกได้ว่าค้างคาและทำคนซึมจนทำหลาย ๆ คนอยากเล่นเกมตัวเต็มกันแล้ว

สำหรับแฟน ๆ Undertale ตัวจริงแล้ว ยังไงซะเกมนี้คุณก็ควรที่จะเล่นอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยเล่น Undertale มาก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่อย่างใด เพราะเนื้อหาของ Deltarune แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Undertale ทำให้สามารถเรื่มเล่นได้แบบไม่ต้องไปทำการบ้านอะไรมาก เพียงแต่หากคุณเล่น Undertale มาก่อนแล้วนั้น คุณจะฟินกับสิ่งที่เกมนี้หยิบนำมาเสนออย่างแน่นอนครับ

Witchbrook (Chucklefish)

อีกหนึ่งเกมอินดี้จากทาง Chucklefish ที่ได้นำเสนอคอนเซปต์ที่แหวกแนว แต่กลับทำให้ผู้เล่นหลาย ๆ คนเกิดอาการอยากเล่นขึ้นมาทันที นี่คืออีกหนึ่งเกมที่ทางค่าย Chucklefish กำลังพัฒนาอยู่และเราน่าจะได้เล่นกันในช่วงปลาย ๆ ปี 2019 แต่หากโชคร้ายก็อาจจะได้เล่นในปี 2020 กันเลยทีเดียว กับเกมที่มีชื่อว่า “Witchbrook”

Witchbrook จะให้คุณได้รับบทเป็นนักเรียนของโรงเรียนเวทย์มนต์ ที่ฟังแค่นี้ก็น่าจะร้องอ๋อกันแล้วว่าเจ้าเกม ๆ นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายและภาพยนตร์พ่อมดแม่มดชื่อกล้องโลกอย่าง “Harry Potter” นั้นเอง โดยรายละเอียดของเกม ๆ นี้ยังไม่ถูกเปิดเผยอะไรมาก นอกจากว่าเกม ๆ นี้อาจจะทำให้ฝันของใครหลาย ๆ คนที่อยากเล่นเกมแนว ๆ Harry Potter นั้นเป็นจริง

สำหรับนักเรียนฮอตวอตส์ มักเกิ้ล เอลฟ์ประจำบ้าน หรืออะไรก็ตามแต่และสนใจที่อยากจะรับบทเป็นผู้ใช้เวทย์มนตร์ราวกับภาพยนตร์ Harry Potter ก็รอเล่นเกมใหม่จากทาง Chucklefish นี้อย่าง Witchbrook กันได้เลย เพราะนี่น่าจะเป็นเกมแรก ๆ ที่ให้เราได้รับบทเป็นนักเรียนของโรงเรียนเวทย์มนต์แบบนี้

Ori and the Will of the Wisps (Moon Studios)

ไม่ต้องอธิบายให้มากมากกับสุดยอดเกมอินดี้น้ำดีเกมนี้ ที่สร้างความน่าทึ่งและทำให้เกมเมอร์หลาย ๆ คนเสียน้ำตากันมาแล้วในภาคก่อนหน้าอย่าง “Ori and the Blind Forest” และนี่ถือว่าเป็นเกมอินดี้ที่สมบูรณ์แบบแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกมเพลย์ การนำเสนอ เพลงประกอบ และงานศิลป์ จนกลายเป็น 1 ในเกมอินดี้ที่ขึ้นหิ้งและครองใจใครหลาย ๆ คนไปเรียบร้อยแล้ว

และในปี 2019 นี้ Ori จะกลับมาอีกครั้งใน “Ori and the Will of the Wisps” ที่ถือว่าเป็นภาคต่อและเป็นเนื้อเรื่องต่อจากภาคแรกกันเลย โดยในภาคนี้ Ori ของเราจะมี Combat ที่หลากหลายมากขึ้นระดับที่เรียกว่าบู้กันได้แล้ว และเพลงประกอบที่ยังคงทรงพลังเหมือนเดิม แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว กราฟิกและงานศิลป์ก็ยังคงใช้แนว ๆ เดิมที่ไม่ได้พัฒนาไปจากภาคแรกไปไกลมากนัก

ซึ่งถึงแม้ Ori and the Will of the Wisps กราฟิกและงานศิลป์จะไม่ได้พัฒนาจากภาคแรกไปไกลมาก แต่นั้นก็เพราะว่ากราฟิกและงานศิลป์ในภาคแรกนั้นจัดได้ว่าโคตรสุดยอดไร้ที่ติและอยู่ในระดับ “Masterpiece” อยู่แล้ว หรือเรียกได้ว่าต่อให้ไม่พัฒนาขึ้นมามาก แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่านี่เป็นเกมอินดี้ที่มีงานศิลป์และภาพสวยที่ดีงามและสวยงามที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก และแทบไม่มีเกมไหนทำออกมาได้สุดยอดขนาดนี้ สายเสพกราฟิกและเสพงานศิลป์สมควรต้องหามาเล่นสักครั้งในชีวิตครับ

Killer Queen Black (Liquid Bit, BubbleBear)

เกมอินดี้วางแผนแบบเรียลไทม์ในรูปแบบของแพลตฟอร์ม โดยตัวเกมนี้เคยมีภาคแรกลงให้กับเกมตู้มาแล้วเมื่อปี 2013 ในชื่อของ Killer Queen และในปี 2019 เราจะได้เล่นเกมใหม่ในซีรี่ส์นี้อย่าง “Killer Queen Black” ซึ่งถือว่าเป็นภาคต่อที่มีการปรับปรุงหลาย ๆ อย่างให้ดีมากขึ้น โดยย้ายจากเกมตู้และมาลงบน Windows, Nintendo Switch แทน

ตัวเกมเป็นเกมแบบ Team-Based Competitive หรือก็คือเกมนี้เราต้องใช้ทีมเวิร์คและการแข่งขัน และเล่นกันตาละ 8 คน แบ่งเป็นสองฝั่งได้แก่ทีมสีน้ำเงินกับทีมสีทอง โดยมีฝั่งละ 4 คน และมีหนึ่งคนที่จะได้เล่นเป็นนางพญาที่จะมีชีวิตจำกัดแค่สามครั้ง ส่วนที่เหลือก็จะได้เล่นเป็น “Drone” ที่สามารถทำการอัพเกรดได้ ซึ่งเป้าหมายของชัยชนะของเกมนี้มีด้วยกันถึงสามวิธีก็คือ การฆ่านางพญาให้หมดทั้งสามชีวิต การเก็บ “เบอร์รี่” ใส่หลุมทุกหลุมในฝั่งของเรา และการขี่เจ้าหอยทากยักษ์ไปยังฝั่งของเรา เรียกได้ว่าในเมื่อเป้าหมายในการเอาชนะเยอะขนาดนี้ ทำให้เราต้องแบ่งหน้าที่กันให้ดีว่าใครจะไปชิงหรือปกป้องสิ่งใด เพราะถ้าหากแบ่งหน้าที่ได้ไม่ดีล่ะก็เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ฝั่งตรงข้ามสามารถเอาชนะได้เลย

สำหรับใครที่เป็นเกมเมอร์สาย Competitive และต้องการตัวเลือกที่มีความแหวกแนว Killer Queen Black ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ด้วยตัวเกมที่มี Combat เกมที่ดูสนุกและสะใจและเป้าหมายการเอาชนะถึงสามเป้าหมาย ทำให้ความน่าเล่นของเกมนี้ถือว่าน่าจับตามองและน่าหยิบมาเล่นไม่น้อยเลยทีเดียว

My Friend Pedro (DeadToast Entertainment)

อีกหนึ่งเกมอินดี้น้ำดีที่เคยเป็น Flash Games มาก่อน โดยในตัวเกมฉบับนี้จะลงให้กับ Nintendo Switch และ Steam หลังจากที่ตัวเกมได้พัฒนาเป็นเวลานานจนในที่สุดก็ได้ช่วงวางจำหน่ายเป็นปี 2019 โดยได้ผู้วางจำหน่ายที่่ขึ้นชื่อว่าบ้าระห่ำและเรียกเสียงความสนใจจากเกมเมอร์ได้เป็นอันดับต้น ๆ อย่าง Devolver Digital ผู้ที่เคยจัดจำหน่ายเกมอินดี้น้ำดีหลาย ๆ เกมเช่น Hotline Miami และเป็นผู้ที่จัดงาน E3 ได้น่าจดจำที่สุดแล้วในแง่ของการจ่ายสิบเล่นล้าน

My Friend Pedro เป็นเกมแนว “Shoot’ em up” หรือหากให้แปลภาษาไทยให้เข้าใจง่าย ๆ มันก็คือ “เกมรำห่ำเดินหน้ายิง” ที่ได้ผสมผสานความกาวและความบ้าระห่ำได้เข้าไปได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวละครของเราที่สามารถกลิ้งไต่ไปได้อย่างโลดโผน รวมถึงยังสามารถทำ Slow Time ได้ราวกับภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ที่ทุก ๆ อย่างรอบ ๆ ตัวจะช้าไปหมด และที่สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “คู่หู” ของเรานั้นเป็น… กล้วยบ้าบอผลนึงนามว่า “Pedro” ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นกล้วยบ้านี่ด้วย

ตัวเวอร์ชั่น Flash games นั้นค่อนข้างสั้น แต่สำหรับฉบับนี้คาดว่าตัวเกมจะมีความยาวที่มากกว่าเดิมอย่าแน่นอน ใครที่ชอบเกมแนวยิง ๆ บ้าระห่ำแบบไม่แคร์ใคร เปิดสโลว์ราวกับ The Matrix ก็รอเล่น My Friend Pedro เวอร์ชั่นใหม่ได้เลยในปี 2019 ครับ

9 Monkeys of Shaolin (Sobaka Studio)

นาน ๆ ทีถึงจะได้เห็นเกมอินดี้สัญชาติรัสเซียออกมาให้เห็นกัน กับผลงานจากทีมงาน Sobaka Studio ที่มาพร้อมเกมใหม่ของพวกเขา โดยมีแผนที่จะวางจำหน่ายในปี 2019 นี้ กับเกมที่มีชื่อว่า “9 Monkey of Shaolin” โดยเป็นเกมอินดี้สายแอคชั่นบู้แหลกที่เราไม่ได้เห็นเกมไหน ๆ ทำแบบนี้กันมานานมาก

9 Monkey of Shaolin ได้เซตติ้งเหตุการณ์ไว้ที่ยุคกลางของประเทศจีน โดยเราจะได้รับบทเป็นนักตกปลาชาวจีนคนหนึ่งนามว่า “Wei Chang” ที่หมู่บ้านและครอบครัวของเขาถูกทำลายและถูกฆ่าโดยพวกกองทัพโจรสลัดตะวันออกลางที่ได้บุกรุกเข้ามาประเทศ และเขาจะแก้แค้นให้กับสิ่งที่เขาสุญเสียไปให้จนได้ โดยใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธกระบอกไม้ไผ่ เพลงหมัดมวยเส้าหลิน โดยระหว่างทางเราจะได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชและศิษย์จากวัดเส้าหลินอีกด้วย

ในท่ามกลางเกมเกรด AAA ที่ไม่ค่อยมีเกมไหนจะเน้นบู้แหลกแบบหมัดมวย และมักจะชูเรื่องการลอบฆ่ากับความสมจริง 9 Monkey of Shaolin ถือว่าเกมอินดี้สายบู้ที่น่าเล่นเป็นอย่างมาก ด้วยอนิเมชั่นที่ลื่นไหลและระบบการต่อสู้ที่ดูไม่ติดขัด บวกกับระบบการต่อสู้ที่ถึงพริกขิงระดับ Jackie Chan Stunmaster และซีรี่ส์ Yakuza แล้ว นี่คืออีกเกมหนึ่งที่สายเสพ Melee Combat ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้ังปวง

Afterparty (Night School Studio)

เกมแนวเนื้อเรื่องแนว Choice Matter จากทีมสร้าง Night School Studio ผู้ที่เคยฝากผลงานเกมเนื้อเรื่องดี ๆ ก่อนหน้าเอาไว้อย่าง Oxenfree และ Mr.Robot :1.51EXFILTRATI0N โดยในปี 2019 เขาได้กลับมาอีกครั้งกับเกมใหม่ของพวกเขาอย่าง “Afterparty” ที่ยังคงเกมการเล่นในรูปแบบเดิมจากผลงานก่อนหน้าของพวกเขาอย่างครบถ้วน

Afterparty จะให้คุณได้รับบทเป็นสองเกลอนามว่า Milo และ Lola ที่ได้เสียชีวิตอย่างปริศนาหลังจากงานเลี้ยงในค่ำคืนหนึ่ง โดยพวกเขาได้หลุดมาอยู่โลกแห่งวิณญาณ ที่พวกเขาจะต้องผจญภัยในโลกที่ไม่รู้จักแห่งนี้ และหาทางหนีกลับไปยังโลกเบื้องบนของพวกเขาให้ได้ ซึ่งตัวเลือกที่คุณได้เลือกนั้นจะมีผลต่อการเดินทางและการผจญภัยของพวกเขาอีกด้วย

สำหรับใครที่ชอบเกมแนวเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะกับแนว Choice Matter ที่ตัวเลือกของเราส่งผลต่อเหตุการณ์และเนื้อเรื่องภายในเกมแล้วล่ะก็ Afterparty ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าโดนและน่าเล่นเป็นอย่างมากครับ เพราะเกมแนวนี้จัดได้ว่าหาเล่นได้ยากมากแล้วในยุคนี้

Sable (Shedworks)

แค่เห็นภาพและงานศิลป์ก็แปลกตาแล้ว สำหรับเกมอินดี้ผจญภัยที่เปิดตัวได้สักพักใหญ่ ๆ ในปีนี้กับ “Sable” ที่ทางทีมงานได้หยิบงานศิลป์ของตำนานศิลปินชาวฝรั่งเศสอย่าง Jean Giraud (Moebius) มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบกราฟิกและงานศิลป์เกมนี้ ซึ่งถ้าหากนึกภาพไม่ออกว่าอาร์ตสไตล์แนวนี้เป็นแบบไหน ก็ให้นึกถึงซีรี่ส์เกม Borderlands ครับ อาร์ตสไตล์ของเกมนั้นค่อนข้างที่จะใกล้เคียงกับเกมนี้พอสมควร

เราจะได้รับบทชายคนหนึ่งนามว่า Sable โดยที่เราจะได้สำรวจดินแดนทะเลทรายขนาดใหญ่ในรูปแบบของ Open World เพื่อตามหาความจริงและค้นหาความลับเกี่ยวกับดินแดนที่เขาได้อาศัยและอยู่กันครับ

สายอาร์ตบอกเลยว่าต้องไม่พลาด เพราะคำว่างานอาร์ตทุกรูปแบบย่อมมีความสวยงามในแบบของตนเอง ไม่จำเป็นต้องสวยงามระดับภาพสมจริง รายละเอียดรูขุมขนไม่ต้องก็ได้ ใครที่อยากลองเสพบรรยากาศและงานศิลปะในแบบของงานศิลปินยุคเก่า ก็รอเล่นกันได้เลยกับ Sable ที่คาดว่าจะวางจำหน่ายในปี 2019 ครับ

Wayward Tide (Chucklefish)

ไม่รู้ว่าทีมงาน Chucklefish เขาไปเสพอะไรกันมาถึงดีดได้ถึงขนาดนี้ กับจำนวนเกมที่ได้เปิดตัวกับเกมนี้ก็ล่อไปเป็นเกมที่ 3 แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือ ทุก ๆ เกมที่ทางค่ายนี้เปิดตัวนั้น ถึงจะเห็นเปิดตัวถี่ ๆ แบบนี้ แต่ทุก ๆ เกมก็มีเกมเพลย์และการนำเสนอที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าแฟนเกมอินดี้ค่าย Chucklefish มีกินแกลบแน่นอนกับกองทัพเกมอินดี้ของพวกเขา

สำหรับเจ้าเกมที่เราจะมาพูดถึงในส่วนนี้ก็คือ “Wayward Tide” ซึ่งข้อมูลของเกม ๆ นี้ยังไม่มีอะไรออกมามาก กราฟิกก็นำเสนอในรูปแบบ Pixel Art ที่มีการใช้เทคนิคของยุคสมัยใหม่ โดยเกมนี้ให้คุณได้รับบทเป็น “โจรสลัด” โดยเราอาจจะได้ท่องโลกกว้างแห่งท้องทะเลและสมบัติอันล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ เรียกได้ว่าสำหรับคอเกมสายโจรสลัด (ไม่ใช่โหลดเถื่อนนะเห้ย) นอกจาก Sea of Thieves และ Skull & Bones แล้ว ก็มีเจ้า Wayward Tide นี่แหละที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากเลยล่ะ

สายเกมโจรสลัดไม่ควรพลาด Wayward Tide ด้วยประการทั้งปวง แต่ปัญหาก็คือเราอาจจะไม่ได้เล่นเกมนี้ในปี 2019 น่ะสิ เพราะอย่าลืมว่าค่าย Chucklefish แกได้พัฒนาเกมจำนวนสามเกมพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น Wargroove, Witchbrook ไหนจะอัพเดทของ Starbound อีก และไหนจะเกมนี้อีก เรียกได้ว่างานล้นมือขนาดนี้ก็คงต้องเอาใจช่วยกันหน่อยแล้วล่ะครับ

Starmancer (Ominux Games)

เรียกได้ว่าสายเกมอวกาศและสายสร้างนั้นเตรียมตัวรอเล่นได้เลย กับอีกหนึ่งเกมอินดี้ที่น่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างมากในแง่ของไอเดียและเกมเพลย์ที่ถูกนำเสนอออกมา กับเกม Starmancer โดยเราจะได้ลองบริหารและสร้าง Colony ณ ดินแดนยานอวกาศขนาดใหญ่ที่ลอยท่ามกลางอวกาศอย่าง The Ark

เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากที่โลกได้สุญสลายไปแล้ว โดยเราได้ตื่นขึ้นมา ณ The Ark ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และได้พบว่าตัวเองได้หลงไปอยู่ระบบสุริยะจักรวาลแห่งหนึ่งที่แปลกประหลาด ซึ่งหน้าที่ของเราก็คือการซ่อมแซม The Ark เพื่อสร้างอาณานิคมขึ้นมาใหม่ และทำการซื้อขาย ติดต่อ กับอาณานิคมรอบ ๆ ตัวเรา ตลอดจนการรับมือจากผู้บุกรุก และที่สำคัญก็คือการกระทำและการเล่นของคุณจะมีผลต่อเนื้อเรื่องในเกมอีกด้วย

ใครที่ชอบเกมแนวสร้าง ๆ โดยเฉพาะกับโทนอวกาศแบบนี้ หรือชอบเกมเนื้อเรื่องที่มีการบิดตามเกมการเล่นในแบบของ Butterfly Effects แล้วนั้น Starmancer เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งครับ

Inmost (Hidden Layer Games)

เรียกได้ว่าสายเสพกราฟิกแบบ Pixel Art มีฟินไปตาม ๆ กัน เพราะปี 2019 เป็นอีกปีที่เกมอินดี้ใหม่ ๆ ได้ใช้กราฟิกแบบ Pixel Art ความละเอียดสูงกันเยอะมาก แถมยังมีการใช้ระบบแสงสีในแบบของเกมยุคใหม่อีกด้วย ทำให้กราฟิก Pixel Art นั้นดูไม่ตกยุคและดูสดใหม่เสมอไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม และ Inmost ก็คือหนึ่งในเกมเหล่านั้น

Inmost จะให้บรรยากาศกับคุณในแง่ของเกมที่ขับเคลื่อนด้วยเนื้อเรื่อง แก้ปริศนา และควบคุมในแบบของเกม Platforming ทั่ว ๆ ไป โดยเราจะได้เล่นถึงสามตัวละครหลัก ที่แต่ละตัวจะมีเกมการเล่นที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้งานภาพของเกมนี้ยังใช้เป็นแบบ Pixel Art สไตล์ Ghoulishly ที่สามารถสร้างบรรยากาศให้เกมนี้ดูอึดอัด ลึกลับ และน่ากลัวได้เป็นอย่างดี

สำหรับใครที่อยากหาเกมโทนมึด ๆ หรือเกมแนว Platforming มาเล่น ที่ในยุคนี้ที่หาเล่นได้ยากเหลือเกิน Inmost ถือว่าเป็นตัวเลือกอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก ด้วยสไตล์โทนงานศิลป์ในแบบของโทนดาร์คมึด ๆ และมาพร้อมกับ Pixel Art ที่มีความละเอียดสูง บวกกับเทคนิคแสงสีในแบบของเกมสมัยใหม่ ทำให้เกมนี้่ดูไม่ตกยุคแม้จะใช้กราฟิกเป็น Pixel Art ก็ตามครับ

Night Call (MonkeyMoon, Black Muffin)

อีกหนึ่งเกมอินดี้ที่พื่งเปิดตัวไปในงาน E3 2018 ผ่านมา ในงานของ PC Gaming Show ที่ทางทีมงาน GamingDose ได้แซว ๆ ว่า “เอ้ยนี่มันเกมขับแท็กซี่นี่หว่า” ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็ถูกแหละ เพราะแท็กซี่ถือว่าเป็นคีย์หลักสำคัญของเกมที่เรากำลังจะพูดถึงเลยทีเดียว โดยเกมนั้นมีชื่อว่า “Night Call”

Night Call เซตติ้งเหตุการณ์อยู่ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเราจะได้รับบทเป็น “คนขับแท็กซี่” ที่รู้ทุกซอกทุกมุมเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้ โดยเขาต้องเรื่มทำงานในช่วงมึดค่ำ แถมยังต้องสะสางเรื่องหนีั้สิน เรื่องรถ และเรื่องใบอนุญาตอีกด้วย นอกจากนี้แล้วเราจะได้คุยกับผู้โดยสาร (ของแบบนี้ไม่ได้มีแค่ในแท็กซี่ไทยนะเออ) เพื่อสอบถามข้อมูลต่าง ๆ และเก็บหลักฐานเกี่ยวกับ “ฆาตกรต่อเนื่อง” ซึ่งเรากลับเป็นคน ๆ เดียวที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งนี้ และพวกมันกำลังหาทางที่จะกำจัดคุณก่อนที่คุณจะปากโป้งออกไป

ใครที่ชอบเกมแนวสืบสวนสอบสวน รวมถึงชอบงานอาร์ตขาวดำเวกเตอร์แบบนี้ Night Call อาจจะตอบโจทย์คุณก็เป็นได้ ด้วยงานภาพที่ดูเป็นเอกลักษณ์ กับเกมเพลย์ที่เน้นความเป็น Narrative สไตล์เกมเน้นเนื้อเรื่อง สองสิ่งนี้น่าจะทำให้คุณสนุกกับเกมนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นครับ

Sea of Solitude (Jo-Mei Games)

อีกหนึ่งเกมอินดี้ที่น่าจับตาจากงาน EA Play ในงาน E3 2018 ที่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นเนื้อดีที่สุดของงาน EA  ท่ามกลางความน่าเบื่อและความจืดจางแล้ว สำหรับ “Sea of Solitude” เกมอินดี้ผจญภัยจากทีมพัฒนาสัญชาติเยอรมันอย่าง “Jo-Mei Games” ที่ได้นำเสนองานศิลป์ที่ดูแปลกตาและเน้นความเป็น Narrative เล่าเรื่องภายในเกมอย่างเข้มข้น

เนื้อเรื่องเซตติ้งอยู่ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน โดยเราจะได้รับบทเป็นเด็กสาวคนหนึ่งนามว่า “Kay” ที่ได้ไปสำรวจเมืองร้างที่จมอยู่ใต้น้ำ แต่พอรู้ตัวอีกทีตัวของเธอก็ถูกปีศาจตัวนึงเข้าสิงที่เปรียบได้ว่าเป็น “ความโดดเดี่ยวและความเหงา” ที่เธอสัมผัสได้จากการผจญภัยเข้าครอบงำตัวของเธอ ทำให้เธอต้องผจญภัยเพื่อหลุดพ้นจากปีศาจแห่งความเหงานี้ไปให้ได้

แค่เนื้อเรื่องกับงานอาร์ตก็น่าสนใจแล้ว เรียกได้ว่าถึงเกมของ EA จะน่าด่าขนาดไหน แต่เรื่องการสนับสนุนเกมอินดี้น้ำดีในโปรแกรม “EA Original” แล้วก็คงต้องยกให้เขาจริง ๆ ใครที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่และงานอาร์ตจากทีมพัฒนาสัญชาติเยอรมัน ก็รอเล่น Sea of Solitude ที่จะวางจำหน่ายในต้นปี 2019 ได้เลย

และนี่ก็คือ “16 เกมอินดี้น่าเล่นและน่าจับตามองประจำปี 2019” ที่ทาง GamingDose ได้หยิบนำมาเสนอกัน จะสังเกตได้ว่ามีหลายเกมมากที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเกมอินดี้ที่ดีและน่าจับตามองเป็นอย่างมากไม่แพ้เกมเกรด AAA ใหญ่ ๆ เลย แถมยังมีจำนวนกว่าเกือบ 20 เกมด้วย เรียกได้ว่าปี 2019 ถือว่าเป็นอีกปีทองของวงการเกมจริง ๆ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นสาย AAA สาย Sony สาย Nintendo หรือแม้กระทั่งสายเกมอินดี้ ก็จะสามารถเกิดอาการ “กระเป๋าบาง” กันได้ทั้งสิ้น ดังนั้นจงเตรียมเงินในกระเป๋าของคุณให้ดี ไม่นั้นคุณอาจจะได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนอาหารมื้อปกติอย่างแน่นอนครับ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0