โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

10 เรื่องโกหกสุดอะจ๊ากที่เกือบเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกกีฬา

Main Stand

อัพเดต 04 เม.ย. 2563 เวลา 09.55 น. • เผยแพร่ 31 มี.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • ชยันธร ใจมูล

April Fool's Day คือวันโกหกสากลที่ไม่รู้ว่าเริ่มมาจากที่ไหนและดังขึ้นเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ เมื่อถึงวันที่ 1 เมษายน จะเป็นธรรมเดียมของชาวตะวันตกที่จะใช้หัวสมองของตนเองคิดเรื่องโกหกที่คิดว่าครีเอทที่สุดออกมา 

 

และในเมื่อวันนี้คือวัน April Fool's Day … Main Stand ขอนำเสนอเรื่องโกหกที่เป็นตำนานของโลกกีฬา ที่บางเรื่องได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ไปเลยทีเดียว

ติดตามทั้งหมดได้ที่นี่ 

 

1. เมสซี่ กับไมตรีในยามยากของ โรนัลดินโญ่ 

จะมีอะไรขายดียิ่งกว่าดราม่าของอาจารย์ผู้สร้างลูกศิษย์ที่กลายเป็นเบอร์ 1 ของโลก อย่างที่ โรนัลดินโญ่ ปั้น ลิโอเนล เมสซี่ ให้ยิงประตูแรกในสีเสื้อ บาร์เซโลน่า และจากนั้นทั้งหมดคือตำนาน ที่สำคัญคือ ดราม่านี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2020 นี้เอง

เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อ โรนัลดินโญ่ โดนจับข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอมในการเข้าประเทศปารากวัย เจ้าตัวก็ต้องติดคุกไปตามระเบียบ หนำซ้ำข่าวยังบอกอีกว่าอดีตนักเตะอย่าง โรนัลดินโญ่ เหลือเงินติดบัญชีแค่หลักร้อยบาท ดังนั้นเขาจะต้องนอนคุกอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

เมื่อนั้น ลิโอเนล เมสซี่ ต่อสายตรงมายังคุกแห่งนั้นและบอกว่า ค่าปรับทั้งหมด 4 ล้านยูโร (140 กว่าล้านบาท) เขาจะเป็นคนจ่ายเอง ได้โปรดปล่อยท่านอาจารย์ของของข้ากลับสู่โลกที่เป็นอิสระเถอะ และพร้อมจะจ้างทนายมือดีที่สุดในโลกเพื่อสู้คดี … เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งโลกตื่มตูมและชื่นชมกับความรักระหว่างศิษย์อาจารย์ต่างสัญชาติคู่นี้ 

อย่างไรก็ตามข่าวโลกสวยออกมาอวยเมสซี่ได้เพียงวันเดียว เจ้าตัวก็ให้ตัวแทนออกมาบอก "เรื่องนี้เป็นเรื่องจ้อจี้" ชนิดได้ยินเสียงพี่ จิ้ม ชวนชื่น ลอยมาแต่ไกลว่า "ถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงคุณคิด … ผิดครับ" 

ไม่มีการจ้างทนาย และไม่มีการจ่ายเงิน 4 ล้านยูโรเป็นค่าปรับใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความรู้สึกเศร้าที่เห็นอดีตเพื่อนร่วมทีมต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แสนยากลำบากในชีวิตหลังแขวนสตั๊ดก็เท่านั้นเอง … ความซึ้งกับสตอรี่ที่มีก็หายวับไปกับตา 

สุดท้ายแล้วทุกคนก็ได้รู้ว่ามันคือเรื่องโกหก ยกเว้นเพียงอย่างเดียว โรนัลดินโญ่ ยอมติดคุกเป็นระยะเวลา 6 เดือนจริงๆ ซึ่งดูจากทีท่าอาการของเหยินน้อยแล้วก็ดูไม่ได้เดือดร้อนซักเท่าไหร่ ทุกวันนี้ยังเตะฟุตบอลบ้าง เล่นฟุตวอลเลย์อย่างสบายอุรา สมฉายา "เพชฌฆาตหน้าเปื้อนยิ้ม" อย่างแท้จริง

 

2. โรนัลโด้ กับเพื่อนรักผู้ให้ชีวิตใหม่ 

นี่คือเรื่องโกหกที่สุดคลาสสิกอีกเรื่อง เพราะมันคลาสสิกระดับตำนานราวกับหลุดมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น และเรื่องโกหกเรื่องนี้ทำให้เกิดนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วสมัยที่ CR7 ยังเป็นเด็กน้อยและเล่นฟุตบอลให้กับทีมท้องถิ่นพร้อมกับเพื่อนซี้ชื่อ อัลแบร์โต้ ฟานเทรา และจังหวะมันอย่างพอดีที่เป๊ะจิง เพราะตอนทั้งคู่อายุ 11 ขวบ สโมสร สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก็มาทดสอบฝีเท้านักเตะท้องถิ่นเพื่อหาคนเข้าอคาเดมี แต่มีเงื่อนไขคือ โควต้าที่มีให้นั้นเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น 

กฎก่อนคัดตัวมีอยู่ว่า ใครยิงประตูได้มากที่สุดคนนั้นจะได้เป็นสมาชิกของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน … แค่นี้ก็ชวนแหม่ง และไม่ต้องสงสัยว่า ผู้รักษาประตู กับกองหลังลืมไปได้เลย ชาตินี้ไม่ได้ลืมตาอ้าปากแน่หากทุกสโมสรคัดนักเตะเยาวชนกันแบบนี้ 

ในวันทดสอบฝีเท้า อัลแบร์โต้ และ โรนัลโด้ ลงเล่นทีมเดียวกันต่างโชว์ฟอร์มได้ดีทั้งคู่ โรนัลโด้ ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ อัลแบร์โต้ จะมาโขกประตูสุดสวยนำห่างเป็น 2-0 ซึ่งระหว่างนั้นโค้ชทีมเยาวชน สปอร์ติ้ง ลิสบอน ออกมาตั้งกติกาว่าหากใครยิงประตูที่สองให้กับทีมได้จะกลายเป็นนักเตะทีมเยาวชน ของทีมทันที และนั่นก็เหมือนเชื้อเพลิงที่สำคัญ 

จังหวะถัดมา อัลแบร์โต้ ได้โอกาสหลุดเดียวเข้าเขตโทษชนิดล่อเป้ากับผู้รักษาประตู แต่ อัลแบร์โต้ เลือกที่จะจ่ายบอลให้ โรนัลโด้ ที่วิ่งเติมขึ้นมากระแทกบอลเข้าประตูไปไม่เหลือซาก และจบเกมทีมของ อัลแบร์โต และ โรนัลโด้ เอาชนะคู่แข่งไปได้ 3-0 พร้อมกับส่ง โรนัลโด้ ได้รับเลือกเข้าทีม

และที่ว่าคลาสสิกสุดๆ คือตอนจบ เมื่อโรนัลโด้ ได้คัดเลือกเขาเดินไปถาม อัลแบร์โต้ ว่า"ทำไมนายถึงส่งให้ฉัน?" ก่อนที่ อัลแบร์โต้ จะตอบประโยคสุดซึ้งกินใจทั้งโลกว่า  "นายเก่งกว่าเรา และนายควรได้โอกาสนั้น" … ป๊าบเข้าให้! แค่นั้นเองตำนานของ CR7 ก็ได้ถือกำเนิด

ปูเรื่องมาเหมือนกับละครหลังข่าวแบบนี้ ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมากมายเพราะดูยังไงก็ปลอมและดูเป็นเรื่องที่ตั้งใจแต่งขึ้นสุดๆ และถ้าหากใครยังคับข้องสงสัยว่ามันอาจจะจริงก็ได้ … มันก็อาจจะเป็นไปได้ ว่าแต่ไหนล่ะ อัลแบร์โต้ ฟานเทรา ผู้ไม่เคยเผยตัวตนจริงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว? 

 

3. ลูกกอล์ฟที่แม่นยำที่สุดในโลก 

กอล์ฟเป็นกีฬาเฉพาะกลุ่มที่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าแม้ภายนอกจะดูง่ายแค่จับไม้แล้วหวดไปข้างหน้า จากนั้นเอาลูกให้ลงหลุมทุกอย่างก็จบ แต่ความจริงแล้วถ้ามันง่ายแบบนั้นเราคงไม่ได้เห็นรายการ กอล์ฟ ทิป หรือ ของฝากนักกอล์ฟ มาสอนเทคนิคต่างๆ ผ่านโทรทัศน์ทุกค่ำคืนต่อเนื่องมา 20 กว่าปีแบบนี้หรอก

เรื่องของการ"ไดรฟ์" นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญและยากสำหรับมือใหม่ที่จะทำให้แม่นยำได้ ดังนั้นในปี 1991 บริษัท Hoffman York & Compton ก็ได้เปิดตัวลูกกอล์ฟที่ชื่อว่า "Aero" และเคลมว่าปัญหาของเหล่ามือใหม่จะหมดไปเพราะนี่คือลูกกอล์ฟที่แม่นยำที่สุดในโลก

Photo : hoaxes.org

คำโฆษณาของพวกเขาบรรยายเจ้า Aero ราวกับเป็นลูกบอลวิเศษ ที่บอกว่าหากโดนเต็มไม้ลูกจะพุ่งแรงเหมือนกระสุนปืน ปฎิกิริยาแรงลมจะไม่เป็นปัญหาเหมือนกับลูกกอล์ฟชนิดอื่นๆ ด้วยเทคนิคพิเศษ อีกทั้งยังสามารถควบคุมการสปินแบบสั้นยาว ท็อปสปินหรือแบ็คสปินได้ตามใจชอบราวกับหลุดมาจากเกมออนไลน์ยุค 2000's อย่าง PangYa ยังไงก็ไม่ปาน 

ภาพโปรโมตสินค้าที่ทางบริษัทใช้ คือภาพการตีลูกกอล์ฟที่พุ่งตรงเป็นลูกธนู ยิงทะลุลูกแอปเปิ้ลเหมือนกับ โรบินฮู้ด ซึ่งแน่นอนว่ามันมีจริงเสียที่ไหน … เจ้าลูกกอล์ฟ Aero นั้นมีวางขายจริง แต่ด้วยสรรพคุณสุดเว่อร์แบบนี้จึงมีกูรูที่ชื่อว่า Iron Byron ไปลองทดสอบตีดู ซึ่งมื่อหลังจากทดสอบเสร็จเขาก็ได้แต่ส่ายหัวบอกว่า "ก็ไม่เห็นมันจะต่างกับลูกกอล์ฟยี่ห้ออื่นตรงไหนเลยนี่หว่า" 

สวรรค์ของนักกอล์ฟหน้าใหม่ก็จบลงตรงนั้น แต่ที่น่าสงสัยคือ Hoffman York & Compton ตั้งใจจะทำมันออกมาขายจริงๆ แบบไม่นึกถึงเรื่อง April Fool's Day หรือเปล่า เพราะท้ายที่สุดก็ไม่มีคำปฎิเสธแต่อย่างใด และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องถือว่า Hoffman York & Compton ใช้แผนซ้อนแผนได้อย่างแยบยล

"ลูกกอล์ฟสุดแม่นจอมโกหก ในวันโกหกที่ไม่กะจะโกหกใคร" … นี่มันคอนเซ็ปต์เพลงของวง Getsunova ชัดๆ 

 

4. หมาน้ำแข็ง

นอกจาก ไซบีเรียน ฮัสกี้ และสายพันธุ์ใกล้เคียงแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีสุนัขพันธุ์ไหนที่ชอบอากาศหนาวจัดเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็งแน่ๆ และ April Fool's Day ปี 2008 สำนักข่าว The Daily Mirror ก็เล่นมุกได้เรียกแขกเป็นอย่างมาก

เนื่องจากคนอังกฤษชอบแทงพนันกันแทบทุกอย่าง นอกจากฟุตบอลแล้วก็ยังมีม้าแข่ง รวมถึงหมาแข่งที่ใช้พันธุ์ เกรย์ฮาวด์ ด้วย ดังนั้น The Daily Mirror จึงนึกสนุกและพาดหัวข่าวว่า 

Photo : hoaxes.org

"เว็บพนันออนไลน์เตรียมเปิดให้แทงสุนัขแข่งวิ่งแบบใส่สเก็ตน้ำแข็ง" โดยใช้ชื่อรายการว่า "Dogs on Ice" แค่ชื่อก็ชวนให้คิดถึงการแสดงขวัญใจของเด็กๆ อย่าง Disney On Ice แล้ว 

ที่พีกยิ่งกว่านั้น คือการตัดต่อรูปน้องหมาวิ่งบนน้ำแข็งพร้อมรองเท้าสเก็ตด้วยหน้าตาแบบว่า อิหยังวะ ยิ่งพาลให้ฮากันไปใหญ่ และอธิบายว่าพวกมันชอบมากที่จะใส่สเก็ตแบบนี้ 

"มีความกังวลว่า 'Dogs on Ice' จะดูโหดร้าย แต่จริงๆ พวกหมาชอบมันนะ ตอนนี้เรากำลังคุยกับนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิของสัตว์อยู่ ถ้าผ่านรับรองได้ว่าเตรียมเปิดตัวการแข่งขันครั้งนี้ได้เลย" หนังสือพิมพ์เจ้าดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าหมาที่ไหนจะใส่รองเท้าสเก็ตได้ แต่สุดท้ายข่าวก็หลอกให้คนอ่านจนจบได้ … พลังแห่งความเพี้ยนนี่ช่างรุนแรงเสียจริงๆ

 

5. เบ็คแฮม กระดูกก้นกบหักพักยาว

มันจะสร้างสรรค์เกินไปแล้ว เมื่อ April Fool's Day ในปี 2013 มีหนังสือพิมพ์จากประเทศเบลเยียมพยายามสร้างกระแส ด้วยการพูดถึง เดวิด เบ็คแฮม เรื่องอาการบาดเจ็บสุดจี๊ดที่โลกฟุตบอลไม่น่าจะเคยมี 

Photo : GQ

พวกเขาเขียนกันเป็นตุเป็นตะว่าในเทศกาลอีสเตอร์ เบ็คแฮม ในฐานะแฟมิลี่แมนได้ช่วยลูกๆ ของเขาเก็บไข่อีสเตอร์ แต่ด้วยความที่หญ้ามันลื่น เขาจึงดริฟต์หลุดโค้งก้นกระแทกดินเต็มๆ จนกระดูกก้นกบหัก (ห๊ะ!) 

"เห็นได้ชัดว่า เดวิด เบ็คแฮม เก็บไข่อีสเตอร์ไม่คล่องแคล่วเหมือนกับตอนเตะฟุตบอล แพทย์ได้เข้าตรวจสอบก้นกบของเขา และคาดว่าเขาจะต้องพัก 6 สัปดาห์ ลงเล่นให้กับ เปแอสเช ไม่ได้แน่นอน" พวกเขาบอกแบบนั้น 

เอาจริงๆ เป็นการเลือกเหตุผลแต่ละอย่างได้สร้างสรรค์มาก ทั้งลื่นพื้นหญ้า, ช่วยลูกเก็บไข่อีสเตอร์, ล้มก้นกบหัก แถมยังมีคุณหมอตามเช็คก้นกบเป็นระยะๆ อีกต่างหาก … ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเบ็คแฮมจริง นอกจาความรู้สึกเป็นห่วง ก็คงต้องบอกว่ารู้สึกฮานี่แหละถึงจะถูกต้องที่สุด

 

6. ผมแปลผิด! 

เรื่องนี้คือตำนานสุดคลาสสิกของแท้แม่ให้มาเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะหลอกได้แนบเนียนแล้วยังกลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้ ลอนดอน มาราธอน กลายเป็นตำนานของวงการวิ่งอีกด้วย 

เรื่องเริ่มต้นจากสื่ออย่าง เดลี่ เมล์ ที่เขียนข่าวช่วง ลอนดอน มาราธอน 1981 ซึ่งเป็นปีแรกที่จัดการแข่งขัน โดยพระเอกของเรื่องคือ คิโมะ นาคานิจิ นักวิ่งทางไกลชาวญี่ปุ่นที่สร้างตำนานท่ามกลางนักวิ่งกว่า 35,000 คนในวันนั้น 

เดลี่ เมล์ เล่นใหญ่ด้วยการลงรูปของ นาคานิจิ และบอกว่านี่คือนักวิ่งที่วิ่งช้าที่สุด แต่ก็พยายามจะไปให้ถึงเส้นชัยที่สุด อารมณ์ประมาณว่าทำให้โลกเห็นภาพจิตวิญญาณซามูไรที่ไม่ถึงจุดหมาย ไม่มีทางยอมแพ้ 

Photo : Daily mail

พวกเขาปล่อยรูปนั้นได้ 1 วัน มันกลายเป็นกระแสเล็กๆ จากนั้น เดลี่ เมล์ ก็ขยี้ต่อในอีก 26 วันต่อมาว่า นาคานิจิ ยังไม่เข้าเส้นชัยเลย เขาหายตัวไปไหนกันแน่? มาถึงข่าวนี้ทุกคนแตกตื่นว่าคนทั้งคนจะหายไปกลางกรุงลอนดอนง่ายๆ แบบนี้เชียวหรือ 

จากนั้นการขยี้ดอก 3 ที่ได้ใจคนอ่านไปเต็มๆ นั่นคือการสืบค้นมาว่าที่ นาคานิจิ วิ่งไม่หยุด 26 วัน เพราะว่าเขาฟังคำสั่งจากล่ามผิด จริงๆ ล่ามภาษาญี่ปุ่นต้องบอกว่า วิ่งระยะทาง "26 ไมล์" แต่เขาแปลให้ นาคานิจิ ฟังว่าต้องวิ่งเป็นระยะเวลา "26 วัน" ซึ่งการฟังผิดครั้งนี้ทำให้ นาคานิจิ วิ่งไม่หยุดตลอด 26 วันแบบไม่ได้หลับได้นอน ซึ่งแน่นอนว่าความโอละพ่อนี้ทำให้ ลอนดอน มาราธอน ดังเป็นพลุแตก พร้อมภาพ 1 ใบที่อิมแพ็คต์สุดๆ มันคือรูปของนักวิ่งที่พวกเขาบอกว่าคือ นาคานิจิ "นักวิ่งชาวญี่ปุ่นโชคร้าย วิ่งบนถนนอยู่คนเดียว"

เมื่อเลี้ยงข่าวได้จนสุกงอมจนทุกคนอยากจะถามหา นาคานิจิ ตัวจริง อยากรู้จัก อยากจะสัมภาษณ์เรื่องราวทั้งหมด สุดท้าย เดลี่ เมล์ ก็ตอบกลับง่ายๆ ว่า "เราหลอกคุณ 'April Fool's Day!' (สุขสันต์วันโกหก)"  เท่านั้นเป็นอันจบเรื่อง

การหลอกทั้งโลกครั้งนี้สร้างตำนานให้ ลอนดอน มาราธอน ตั้งแต่ครั้งแรกที่จัดแข่ง และถูกสานต่อจนกลายเป็นสนามมาราธอนระดับเวิลด์คลาส ที่นักวิ่งทั่วโลกต่างอยากจะมาแข่งขันสักครั้งในชีวิตจนถึงทุกวันนี้ 

 

7. โมราต้า กับความรักสุดโรแมนติกของเขา 

วกกลับมาที่ความหวานจับใจในโลกฟุตบอลอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นอีกหนที่เรื่องของความรักของนักฟุตบอลขายดิบขายดีล่อตาล่อใจแฟนบอลอีกตามเคย

เรื่องดังกล่าวเกิดจากการเล่นข่าวมั่วของสำนักข่าวที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่กลับสามารถปั่นกระแสจนกลายเป็นไวรัลได้ ณ เวลานั้น คือในช่วงปี 2016 อัลบาโร่ โมราต้า กำลังดังเป็นพลุแตกจากบทบาทดาวยิงตัวเก่งของ ยูเวนตุส จน เรอัล มาดริด สโมสรที่เคยชุบเลี้ยงเขามาต้องซื้อตัวกลับไปร่วมทีมอีกครั้ง

Photo : The mirror

เมื่อนักเตะอยู่ในกระแสเรื่องของเขาก็ถูกใส่ไข่ จากภาพมีภาพเดียวที่มีแฟนบอลสาวของ ยูเวนตุส หน้าตาดีเอาเสื้อมาให้เขาเซ็น โดยสำนักข่าวดังกล่าวอ้างว่า "นี่คือความรักสุดโรแมนติก จากแฟนคลับ สู่ว่าที่ภรรยาของ โมราต้า และทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน" 

เพียงเท่านั้นก็พาให้คอข่าวเลเวล 1 ผิวปากวิ้ดวิ้วกันด้วยความฟิน แต่ความจริงคือไม่มีอะไรเลย ไม่มีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนหรือดราม่าใดๆ เพราะรูปนั้นก็แค่รูปแฟนบอลมาขอลายเซ็นธรรมดา ส่วน โมราต้า นั้นก็มีหวานใจอยู่แล้ว โดยสาวเจ้าที่กลายเป็นเจ้าสาวตัวจริงในเวลาต่อมามีชื่อว่า อาลิเซ่ คัมเปโญ่ … เรื่องจริงไม่กี่อย่างที่พอจะโยงกับข่าวมั่วนี้ได้คือ ภรรยาของโมราต้าเป็นชาวอิตาลี และพบรักในช่วงที่ฝ่ายชายเล่นให้ ยูเวนตุส นี่แหละ

 

8. ปากท้องต้องมาก่อน 

ฟุตบอลนั้นคือศาสตร์และศิลป์ ไม่ใช่การเล่นเก่งอย่างเดียวแล้วทุกอย่างจะจบได้ง่ายๆ ต้องมีทั้งพระเดชพระคุณ มีความสามารถในการเข้าสังคมและปรับตัวมากมาย และนี่คือเรื่องที่อดีตนักเตะของ ลิเวอร์พูล อย่าง มักซี่ โรดริเกซ เคยโกหกได้เนียนจนเขาได้กลายเป็นนักเตะในสังกัดหงส์แดงเลยทีเดียว

เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากจบฟุตบอลโลก 2010 ลิเวอร์พูล ที่มี ราฟา เบนิเตซ เป็นกุนซือกำลังมองหานักเตะดีๆ สักคน และแน่นอน มักซี่ โรดริเกซ คือคนนั้น ปีกตัวเก่งดีกรีทีมชาติอาร์เจนติน่าของ แอตเลติโก มาดริด โชว์ลีลาลากเลื้อยในฟุตบอลโลกครั้งนั้นจนเข้าตากรรมการอย่างจัง

Photo : This is Anfield 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการตกลงซื้อตัว ราฟา ตามสอบประวัติของมักซี่อย่างละเอียด เพื่อความชัวร์ เขาต้องถาม มักซี่ อีกครั้งว่า "คุณพูดภาษาอังกฤษเป็นไหม?" และมักซี่ ก็ตอบว่า "แน่นอนอยู่แล้ว" คำๆ นั้นทำให้ทุกอย่างจบ ลิเวอร์พูล เช็กบิล มักซี่ ร่วมทัพ ทว่าความลับอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน งานเปิดตัวนักเตะใหม่มาถึง หายนะก็มาเยือน …

"ในงานแถลงข่าว ราฟา บอกผมว่า เขาจะพูดคนแรก แล้วจากนั้นก็เป็นผม" มักซี่ เล่าเอง 

"ผมจับมือเขาแล้วพูดว่า 'ฟังนะ ราฟา ผมบอกตรงนี้เลย ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย คือได้แค่คำว่า Hello คำเดียวเท่านั้น' … ราฟา ตาถลึงตอบผมทันทีว่า 'เอากูแล้วไง … เวรตะไลแล้วไอ้บัดซบ (Hijo de puta)'" มักซี่เล่าด้วยสีหน้าสุดฮา แต่หลังจากนั้นเขาก็ไปเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ 

 

9. แย่งกันนักใช่ไหม? 

เดอะ ซัน ชื่อนี้การันตีความแสบอยู่แล้ว สำนักข่าวนี้พร้อมจะเล่นงานทุกคนไม่ใช่เฉพาะกับนักกีฬาเท่านั้น แม้แต่คนอ่านก็ไม่รอด 

มีครั้งหนึ่งในเกมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก ระหว่าง อังกฤษ กับ ยูเครน ที่ นิว เวมบลี่ย์ มียอดจองตั๋วกระหน่ำจากแฟนบอลสิงโตคำราม เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขาคิดว่าอังกฤษจะถล่มแน่ และเกมแบบนี้จะต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

Photo : The miror

เดอะ ซัน เห็นเช่นนั้นจึงเกิดนึกสนุกขึ้นมา เพราะเช้าวันก่อนแข่งพวกเขาพาดหัวข่าวลงหน้าหนึ่งว่า"วันนี้ ยูเครน ได้ขอให้ฝ่ายจัดได้เปิดเพลงชาติเวอร์ชั่นต้นฉบับ ที่จะมีความยาวที่สุดในเพลงชาติของทุกชาติทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 6 นาทีครึ่ง หากแฟนอังกฤษคนใดทนรอไม่ไหวจนส่งเสียงโห่ เขาคนนั้นจะถูกไล่ออกจากสนามทันที" 

แฟนบอลอังกฤษเริ่มผวาว่ามันจริงหรือไม่ แต่เมื่อเข้าสนามแข่งจริงๆ ณ วันแข่งขันซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของปี 2009 พอดิบพอดี ในขณะที่พวกเขากลั้นใจรอฟังเพลงชาติ 6 นาทีครึ่งของ ยูเครน ทุกอย่างก็เฉลย เพราะเพลงชาติยูเครนที่เปิดจริงก็มาสั้นๆ ไม่ถึง 1 นาทีแล้วก็จบ … ปล่อยให้พวกแฟนๆ ที่ง้างรอได้แต่คิดในใจ "เดอะ ซัน มึงเล่นกูอีกแล้ว" 

 

10. นักเตะปริศนา 

ปี 2003 กลาสโกว์ เรนเจอร์ส อยู่ในสถานะที่ต้องไล่บี้ไล่ถล่มกับกับ กลาสโกว์ เซลติก เพื่อชิงความเป็นที่ 1 ของฟุตบอลสก็อตแลนด์ และศึกนี้มันเหมือนกับสงคราม เพราะ เรนเจอร์ส ตัดสินใจเล่นสงครามจิตวิทยา ที่จะทำให้ เซลติก ต้องขวัญผวา 

Photo : The Guardian

เรนเจอร์ส ลงข่าวในเว็บไซต์หลักของสโมสรว่า ได้คว้าตัว Yardis Alpolfo ดาวยิงจากสโมสร กาลาตาซาราย เจ้าของฉายา นิว ฮาคาน ซูเคอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ซึ่ง 10 ล้านปอนด์ ณ เวลานั้นถือว่าสูงมากสำหรับทีมลีกสก็อตแลนด์ เพราะแม้แต่ เธียร์รี่ อองรี ที่ย้ายไป อาร์เซน่อล เมื่อปี 1999 ยังมีราคาแค่ 11 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง 

แฟนบอลของ เรนเจอร์ส ได้ยินดีกรีแล้วก็คึกถึงคีดสุด คิดในใจว่าดาวยิงคนใหม่จะเข้ามาและยิงคู่อริร่วมเมืองให้ยับในปีหน้า …

เรียกได้ว่า เรนเจอร์ส ไม่ได้ได้หลอกแค่ เซลติก แล้ว พวกเขาหลอกแฟนบอลตัวเองเสียสนิท หนำซ้ำยังมาขยี้ตอนจบด้วยการเฉลยว่า พวกเอ็งไม่เอะใจกันเลยหรือไง ชื่อ Yardis"Alpolfo" มันก็ย่อมาจาก April Fool's Day นั่นแหละว้อย 

"จะหลอกเขาแท้ๆ ดันหลอกพวกเดียวกันเองซะได้" … ทีมมีเดียของ เรนเจอร์ส ไม่ได้กล่าวไว้

 

แหล่งอ้างอิง

http://en.espn.co.uk/espn/sport/story/143335.html

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0