โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

10 ปี “Up in the Air” หนังเหงาๆ ที่ทำให้คุณอยากจัดกระเป๋าชีวิตใหม่ - เพจ Kanin The Movie

TALK TODAY

เผยแพร่ 27 พ.ย. 2562 เวลา 01.42 น. • เพจ Kanin The Movie

“สิ่งที่คุณต้องการที่สุดในชีวิตคืออะไร?”คำถามแสนน่าเบื่อที่ได้ยินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบพร้อมกับคำตอบที่สามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร เรื่องราวของความสำเร็จ การทะยานไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่ในภาพยนตร์ที่มักว่าด้วยเรื่องราวการเดินทางของมนุษย์จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเป็นเสมอ แต่ทุกสิ่งที่กล่าวมาสำหรับ “Up in the Air” นั้นให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป มันว่าด้วยมนุษย์กับเป้าหมายสูงสุดที่ถูกเรียงร้อยด้วยสารพัดกระบวนการตามขั้นตอน กระนั้นสิ่งสำคัญที่สุดกลับไม่ใช่บทสรุปที่ว่าเขานั้นทำสำเร็จหรือไม่ เมื่อหนังตั้งคำถามกับเราเพิ่มเติมว่า “แล้วสิ่งที่คุณไม่ได้ต้องการล่ะ มันสำคัญที่สุดหรือเปล่า?”

Up in the Air เล่าเรื่องราวของ ไรอัน บิงแฮม ชายที่ใช้ชีวิตอยู่บนท้องฟ้ามากกว่าผืนดิน เขาทำอาชีพเป็น เจ้าหน้าที่ด้านการลดจำนวนพนักงานให้กับองค์กรต่างๆ (ที่ไม่สะดวกใจหรือไม่พร้อมที่จะไล่พนักงานตัวเองออก) ทำให้ต้องเดินทางข้ามรัฐไปมาอยู่เสมอจนบ้านไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป ไรอัน มองว่าชีวิตของเขาจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการ “ไม่มีพันธะ” ต่อสิ่งใด เพื่อให้ตนสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาจึงใช้ชีวิตในฐานะชายโสด ไม่ผูกติดกับความสัมพันธ์หรือการมีชีวิตคู่ กระทั่งคนรอบตัวอย่างเพื่อนร่วมงาน หรือครอบครัว เขาเองก็ดูจะไม่ได้สนใจหรือเอาใจไปผูกนัก ชีวิตอันล่องลอยของ ไรอัน จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง (เช่นเดียวกับเป้าหมายสำคัญที่เขาอยากจะสะสมไมล์ให้ครบ 10 ล้าน) จนวันหนึ่ง ไรอัน เริ่มตั้งคำถามกับความรู้สึกที่มีต่อ อเล็กซ์ เพื่อนนักเดินทางที่เขาพบในโรงแรมสนามบินเป็นประจำว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไร ชีวิตที่เดินทางไปอย่างไม่รู้จบ หรือโอกาสเล็กน้อยที่จะทำให้หยุดและเริ่มปักหลักกับบางสิ่งเสียที 

หนังค่อยๆ พาเราไปรู้จักกับชีวิตประจำวันของ ไรอัน พร้อมๆ กับวิธีคิดที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ผ่านมิตรภาพเล็กๆ ของเขากับเพื่อนร่วมงาน ผ่านความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ห่างเหิน และรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำให้เราเห็นภาพรวมชีวิตของเขาอย่างครบถ้วน สิ่งที่น่าสนใจใน Up in the Air คือการค่อยๆ ลดทอนความเชื่อเหล่านั้นทิ้ง เมื่อตัวละครถูกความสัมพันธ์เข้ามาแทรกแซงจนต้องเริ่มตั้งคำถามต่อวิ่งที่ตนเองเชื่อมาตลอดอีกครั้ง ทั้งเป้าหมายในชีวิต มาตรวัดความสำเร็จ กระทั่งนิยามความสุข ทุกสิ่งที่เขาเคยมั่นใจ เคยปักใจเชื่อ เริ่มสั่นคลอนจนไม่สามารถตอบกับตัวเองได้อีกว่ายังเชื่ออยู่หรือไม่ และที่เลวร้ายไปกว่านั้น มันอาจจะสายเกินกว่าที่เขาจะเริ่มต้นใหม่ได้อีก

ซีเควนซ์หนึ่งที่เราชอบในหนังมากๆ คือฉากสัมมนาที่ ไรอัน เป็นคนจัดขึ้นตามเมืองต่างๆ ในหัวข้อ What's In Your Backpack? (มีอะไรในเป้ของคุณ) โดยในสัมมนา ไรอัน ได้พูดถึงวิธีการใช้ชีวิตที่ทำให้ตนประสบความสำเร็จนั่นคือการทำให้เป้ของเรามี น้ำหนักน้อยที่สุด เพื่อที่เราจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วเพราะ ยิ่งเราเคลื่อนไหวช้าเท่าไหร่ เราก็ตายเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรยืนยันว่าคำพูดของ ไรอัน นั้นถูกต้องหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาโน้มน้าวใจเราได้ดีไม่น้อย (หรือในอีกแง่ หนังนั่นเองที่โน้มน้าวใจเราได้เก่ง) จังหวะหนึ่งเราก็รู้สึกว่าชีวิตแบบเขามันดีไม่น้อย ชีวิตที่ตัวคนเดียวแต่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีความสำเร็จ มีเป้าหมายอยู่เคียงข้างกายมันก็โอเคไม่ใช่หรือ ชีวิตที่ดูเบาบางไร้น้ำหนัก แต่ก็อนุญาตให้เราโบยบินไปตามที่ต่างๆ ได้ดั่งใจต้องการ เพราะบางที นี่อาจจะเป็นความสุขลงตัวที่เราหรือใครหลายคนต้องการอยู่ก็ได้

“ ชีวิตคุณหนักเท่าไหร่? ลองจินตนาการสักวินาทีว่าคุณกำลังแบกเป้อยู่ ผมอยากให้คุณรู้สึกถึงสายสะพายบนบ่าของคุณ รู้สึกมั้ย? ตอนนี้ผมอยากให้คุณบรรจุมัน ด้วยสิ่งของทั้งหมดที่คุณมีในชีวิตคุณ คุณเริ่มจากของชิ้นเล็กๆ ก่อน ของที่อยู่บนชั้นและในลิ้นชัก ของที่ระลึก ของสะสม รู้สึกถึงน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามา จากนั้นคุณก็เริ่มเติมของชิ้นใหญ่ขึ้น เสื้อผ้า เครื่องใช้ โทรทัศน์ของคุณ เป้น่าจะหนักเอาการอยู่ตอนนี้ แล้วคุณก็บรรจุของที่ชิ้นใหญ่ขึ้น โซฟา เตียง โต๊ะกินข้าว ใส่ทุกอย่างลงไปในนั้น รถของคุณ บ้านของคุณ ผมอยากให้คุณใส่ของทั้งหมดลงในเป้นั่น ตอนนี้ลองเดินดู ยากใช่มั้ยครับ นี่เป็นสิ่งที่เราทำกับตัวเองทุกวัน เราเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองจนเราเคลื่อนไหวไม่ได้ และจำไว้ให้ดีนะครับ การเคลื่อนไหวคือการมีชีวิต 

ตอนนี้ผมจะเผาเป้ใบนั้น คุณอยากเอาอะไรออกจากเป้ อันที่จริงแล้ว ปล่อยให้ทุกอย่างถูกเผาไป แล้วจินตนาการว่าตื่นขึ้นมาตัวเปล่าในตอนเช้า มันมีชีวิตชีวาใช่มั้ยครับ  ”  

สิ่งที่น่าสนใจของฉากสัมมนาคือการนำเสนอเหตุการณ์เดิมๆ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของ ไรอัน เราได้เห็นประโยคดังกล่าวในช่วงแรกของเรื่องที่เป็นเหมือนการเซ็ตติ้งตัวละครให้เราเข้าใจความคิดของเขา และเราก็ได้เห็นการย้ำความคิดนั้นในงานสัมมนาต่อไปที่เขาพูดถึงความสัมพันธ์ในฐานะ องค์ประกอบชีวิตที่หนักที่สุด และเราก็ได้เห็นเขาพูดครั้งสุดท้าย แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถพูดมันได้ทั้งหมด เพราะชีวิตและมุมมองความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว (จากการได้รู้จักกับ อเล็กซ์ คนที่ทำให้เขาอยากหยุดเดินทางและลงหลักปักฐานชีวิตกับเธอ)

" คุณมีเป้ใบใหม่ แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณบรรจุผู้คนลงไป เริ่มจากคนที่รู้จักกันธรรมดาก่อน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนร่วมงาน แล้วย้ายมายังคนที่คุณไว้ใจเล่าความลับที่สุดให้ฟัง ลูกพี่ลูกน้อง ป้าของคุณ ลุง พี่ชาย น้องสาว พ่อแม่ของคุณ และท้ายที่สุด สามี ภรรยา แฟนของคุณ คุณบรรจุพวกเขาลงในเป้ ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ขอให้คุณจุดไฟเผาเป้ รู้สึกถึงน้ำหนักของเป้ จำไว้ให้ดี ความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบที่หนักที่สุดในชีวิตของคุณ " 

สิ่งที่ทำให้ Up in the Air เจ็บปวดต่อเรา (และใครหลายคน) คือการที่สุดท้ายหนังทำให้ทุกคำทุกประโยคเหล่านี้วนกลับมาทำร้ายชีวิตของ ไรอัน อย่างแสนสาหัส ชีวิตที่อาศัยบนท้องฟ้าแต่กลับเริ่มเห็นคุณค่าของการลงไป ชีวิตที่แขวนอยู่บนการเดินทางแต่กลับเริ่มมองโอกาสที่จะได้พัก ได้หยุดอยู่กับที่ ความคาดหวังของผู้ชมที่จะได้เห็นบทสรุปอันหอมขวานระหว่าง ไรอัน กับ อเล็กซ์ ก็ต้องพังทลายเมื่อท้ายที่สุดเขาพบว่าเธอมีครอบครัวไปแล้ว หนังจึงจบด้วยสภาวะลอยเคว้งของตัวละคร ที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหนได้ ไรอัน ยังคงเดินทางบนเครื่องบินกับ 10 ล้านไมล์ที่ยังถูกสะสมต่อไป สิ่งเดียวที่แตกต่างคือเขาไม่อยากทำมันอีกแล้ว เขาไม่ได้ภูมิใจกับความสำเร็จที่วาดฝัน เขาไม่ได้มีความสุขกับการอยู่บนเครื่องบิน หรือมีไร้ความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขหรือพันธะ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญอีกต่อไป หากแต่เป็นการมีใครสักคน ใครสักคนที่ทำให้เราหยุดวิ่ง หยุดผจญภัย หยุดโบยบิน หรือเริ่มมีความสุขกับการไม่ไปไหน เพราะมันก็ถูกเรียกว่าเป็นความสำเร็จได้เช่นกัน เขาแค่ไม่เคยรู้ว่ามันมีก็เท่านั้นเอง

" นายลองคิดถึงความทรงจำอันแสนวิเศษ หรือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต นายอยู่ตัวคนเดียวหรือเปล่า? "

ไรอัน พูดกับเจ้าบ่าวที่กำลังจะหนีการแต่งงานกับน้องสาวของเขา ประโยคดังกล่าวไม่เพียงแต่เตือนสติอีกฝ่ายแต่ยังทำให้เขาได้ครุ่นคิดถึงเรื่องตัวเองด้วย เราอาจจะเรียกได้ว่า Up in the Air เป็นหนังที่ให้คุณค่ากับคำว่า “ใครสักคน” มากอยู่พอสมควร หรือมากไปกว่านั้น มันก็คือหนังที่เชื้อเชิญให้เราตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองในหลายๆ มุมมอง เป็นเหมือนคอร์สสัมมนาของ ไรอัน ที่ทำให้เราได้เปิดเป้ชีวิตตัวเองดูอีกครั้งว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันหนักไปมั้ย เบาไปมั้ย และใส่อะไรไว้บ้าง ควรเอาอะไรออก หรือใส่อะไรเพิ่มเข้ามา เพราะทุกอย่างที่เราเก็บไว้หรือทิ้งไปควรมีผลลัพธ์เสมอ เช่นเดียวกับ ไรอัน ที่ทิ้งทุกสิ่งก่อนที่วันหนึ่งเขาจะพบว่าการวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยกระเป๋าแสนเบาหวิว ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสำเร็จอย่างมีความสุขเลย

คืนนี้คนส่วนใหญ่จะได้รับการต้อนรับกลับบ้าน ด้วยสุนัขที่กระโดดเริงร่า เด็กๆ ที่กรีดร้องอย่างยินดี คู่สามีภรรยาของพวกเขาจะถามว่า วันของพวกเขาเป็นอย่างไร คืนนี้พวกเขาจะนอนหลับ ดวงดาวจะเคลื่อนที่ออกจากที่ที่พวกมันหลบซ่อนอยู่ในช่วงกลางวัน หนึ่งในแสงเหล่านั้นที่แจ่มจ้ากว่าดาวดวงอื่นเล็กน้อย คือแสงไฟจากปลายปีกเครื่องบินผมที่บินข้ามไป "

Up in the Air เข้าชิงออสการ์ 6 สาขา (รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) แม้จะไม่ได้อะไรติดตัวกลับมาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผลงาน คอมเมดี้-ดราม่า เรื่องนี้มีคุณค่าน้อยลงไปเลย ต้องยอมรับว่านี่คือหนึ่งในหนังที่เล่นงานกับความรู้สึกเราอย่างหนักหน่วงที่สุดเรื่องหนึ่งแบบไม่ทันตั้งตัว การผสมผสานความตลกกับขำไม่ออกของมันช่างงดงาม อีกทั้งยังพาคนดูไปสู่สภาวะลอยเคว้งอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างแม่นยำ (โดยเฉพาะช็อตจบที่ตราตรึงจนถึงตอนนี้) สำหรับเรา นี่คือผลงานของ เจสัน ไรท์แมน ที่ดีและทำงานกับเราที่สุดเรื่องหนึ่ง (ผกก. Juno, Thank You for Smoking, Tully) และไม่น่าเชื่อว่ามันมีอายุครบ 10 ปีแล้ว , ว่าแล้วลองหยิบกระเป๋ามาเช็คดูเสียหน่อยดีกว่า

.

.

ติดตามบทความของเพจ Kanin The Movie ได้บน LINE TODAY ทุกวันพุธ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0