หลายคนเชื่อว่า ธุรกิจการเงินโลก กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลังจากFacebook ประกาศออกเงินสกุลดิจิทัล“ลิบรา” ที่ใช้ง่ายคล่องลดต้นทุนด้านการเงินและไม่มีค่าธรรมเนียม ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจเข้ามาอีกมหาศาล
*1. เปิดใช้กลางปี2020 *
นับเป็นก้าวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกสกุลดิจิทัล และเทคโนโลยีบล็อกเชน เมื่อเฟซบุ๊ก(Facebook) ประกาศยืนยัน เปิดตัวโครงการ“ลิบรา(Libra)” สกุลเงินดิจิทัล พร้อมใช้อย่างเป็นทางการในปีหน้า(2020)
2. ชื่อและโลโก้
การเลือกชื่อLibra นั้นมีหลายเหตุผล นอกจากโลโก้แสดงความหมายที่เป็นหน่วยวัดน้ำหนักโรมันที่เกี่ยวข้องกับเหรียญแล้ว ชื่อนี้ยังมาจากเครื่องหมายทางโหราศาสตร์รูปตาชั่งที่แสดงถึงความสมดุล และอีกส่วนหนึ่งมาจากคำภาษาฝรั่งเศส"libre" ซึ่งหมายถึงอิสรภาพ รวมกันเป็นเงินที่ผู้ถือจะได้รับความยุติธรรมและอิสระ ตามแนวคิดหลักของโครงการนี้
เชื่อว่าผู้ใช้Facebook จำนวน2 พันล้านคนทั่วโลกจะใช้สกุลเงินใหม่เพื่อซื้อสิ่งของหรือส่งเงินไปต่างประเทศเป็นประจำ
*3. เฟซบุ๊ก ร่วมมือกับ27 องค์กร *
เช่น“วีซ่า” (Visa) และมาสเตอร์การ์ด(Mastercard) รวมถึงบริษัทอินเทอร์เน็ตชื่อดังอย่างอีเบย์(eBay), สปอติฟาย(Spotify) และอูเบอร์ (Uber)
โดยทั้ง28 ราย ร่วมกันสร้างกลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ชื่อสมาคมลิบรา”Libra Association” ตั้งอยู่ในเจนีวา เพื่อดูแลสกุลเงินLibra ในการใช้จ่ายเงินสกุลลิบราจะถูกควบคุมดูแลโดยพันธมิตร28 ราย
สมาคมLibra ต้องการเพิ่มจำนวนพันธมิตรให้ถึงระดับ100 องค์กร ก่อนที่สกุลเงินดิจิทัลLibra จะเปิดตัว โดยในเอกสารยืนยันว่าพันธมิตรแต่ละรายจะมีอำนาจการโหวตเท่ากัน
*4. ใช้เทคโนโลยีBlockchain *
Libra ใช้เทคโนโลยีBlockchain เป็นพื้นฐานด้านวิศวกรรม ช่วยกระจายอำนาจให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายมีส่วนร่วมในการบันทึกข้อมูลที่มาของเงินแบบสาธารณะ เช่นเดียวกับBitcoin และEthereum จึงทำให้เกิดธุรกรรมที่ปลอดภัยเป็นการกรจายโดยไม่มีใครใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จ
5. Libra ต่างจาก bitcoin ตรงไหน
แม้จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลเหมือนbitcoin และคอยน์อื่นๆ แต่Libra มีความแตกต่างที่สำคัญคือการถูกดูแลโดยหน่วยงานกลาง และมูลค่าของมันจะผูกติดอยู่กับสินทรัพย์อื่น
เบื้องต้นนักวิเคราะห์มองว่า สกุลเงินที่มีความผันผวนต่ำสามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับประชาชน ขณะเดียวกันก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับประชาชนที่ไม่ต้องการใช้สกุลเงินที่อยู่ในภาวะเงินเฟ้อรุนแรงระดับวิกฤต ทำให้Libra ถูกมองว่ามีอนาคตสดใส
*6. Libra ยังสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีโอเพนซอร์ส *
ซึ่งหมายความว่าบริษัทหรือบุคคลใดก็สามารถสร้างธุรกิจที่เข้ากับกรอบการทำงานของเงินLibra ได้เสรี ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคสามารถซื้อเงินLibra โดยใช้เงินดอลลาร์แล้วเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล เงินLibra นี้สามารถถูกส่งไปยังสมาชิกในครอบครัวผ่านแอปพลิเคชั่นสื่อสารอย่าง WhatsApp หรือจะใช้จ่ายบิลในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินแข็งค่า
7. ใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล
เพื่อให้การโอนเงินLibra ที่จะแจ้งเกิดในปีหน้าFacebook ใช้วิธีแจ้งเกิดแอปพลิเคชั่นชื่อ“คาลิบรา” (Calibra) หน้าที่หลักคือการเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถโอนเงินระหว่างกันได้ ด้วยค่าธรรมเนียมราคาต่ำมากถึงฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
8. ต้นทุนโอนเงินลดลง
ขณะนี้ต้นทุนเฉลี่ยในการส่งเงินไปทั่วโลกอยู่ที่7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากลดต้นทุนการทำธุรกรรมลงได้ ราคาค่าใช้บริการออนไลน์ เช่น การเรียกรถผ่านUber ก็อาจต่ำลงด้วย
9. รับเงินเดือนเป็นLibra
เป้าหมายใหญ่ของบริษัทคือการผลักดันให้Libra เป็นที่ยอมรับ หากประสบความสำเร็จก็จะมีโอกาสอื่น ในการให้บริการทางการเงินแก่ผู้ที่อยู่ในแพลตฟอร์มธุรกิจของFacebook และเพื่อให้เป็นไปอย่างคาดหวัง มีรายงานว่า ขณะนี้Facebook เสนอให้พนักงานที่ทำงานกับโครงการLibra รับเงินเดือนเป็นสกุลเงินLibra แล้ว
*10. แม้ว่าLibra จะไม่ได้ผูกเข้ากับเฟซบุ๊ก เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยข้อมูล *
แต่Libra ถูกมองว่าน่ากังวลเรื่องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสังคมไร้เงินสด ทั้งกลุ่มเป้าหมายอย่างผู้สูงวัย-คนยากไร้-ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคารที่อาจตามไม่ทันในโลกการค้ายุคใหม่ และความเสี่ยงเรื่องการถูกแทรกแซงได้ง่ายจากหลายปัจจัย.
ข่าวเกี่ยวเนื่อง
• Disruptor ตัวจริง! แบงก์ จับตา “Libra” กับอนาคตของสกุลเงินโลก?