จังหวะก้าวของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ต่อกรณีการบรรยายของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นจังหวะก้าวสำคัญ
เพราะเป็นจังหวะอันปรากฏผ่าน”มติ”โดยพื้นฐาน
กำหนดให้ทำหนังสือเชิญ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เข้ามาแลก เปลี่ยนความคิดเห็นด้านความมั่นคงในวันที่ 21 ตุลาคม
เป็นมติอันเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังคำบรรยายในหัวข้อ”แผ่นดิน ของเราในมุมมองด้านความมั่นคง”ณ หอประชุมกิตติขจร บก.ทบ.เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม
เป็นบทบาทในฐานะ”กรรมาธิการ” เป็นบทบาทจากอำนาจนิติบัญญัติไปยังผบ.ทบ.อันเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบริหาร
เป็นไปตามขนบและธรรมนิยมแห่งระบอบประชาธิปไตย
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงกลาโหม ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาแสดงความเห็นปกป้อง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อย่างไร
แต่เมื่อคณะกรรมาธิการอันเกี่ยวโดยตรงกับความมั่นคงแห่งรัฐมีมติและทำหนังสือเชิญ
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ในฐานะผบ.ทบ.ก็ต้องให้ความเคารพ
ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อให้ความเคารพแล้ว พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามมติของคณะกรรมาธิการหรือไม่
ตรงนี้แหละที่สำคัญและทรงความหมาย
ตรงนี้แหละที่จะเป็นการประลองกำลังกันระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร
ในฐานะ”ข้าราชการประจำ” ผบ.ทบ.จะตัดสินใจอย่างไร
มติของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร จึงทรงความหมายเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
ด้านหนึ่ง เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณในทางการเมือง ด้านหนึ่ง จึงเท่ากับเป็นการหยั่งเชิงและทดสอบ
ทดสอบพลังระหว่าง “กรรมาธิการ” กับ “ผบ.ทบ.”
ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในการเมืองยุคเก่า การเมืองที่สยบสมยอมกับทหารกับกองทัพ
แสงแห่งสปอตไลต์จึงสาดฉายไปยัง “ผบ.ทบ.”