โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

โพยหุ้นเด่นเดือน ส.ค. ลงทุนอย่างไรเมื่อโควิดยังกดดัน

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 15.16 น. • เผยแพร่ 02 ส.ค. 2564 เวลา 08.33 น. • This’s Alano

เข้าสู่เดือนสิงหาคม 2564 ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าปัญหานี้จะคลี่คลายลงได้เมื่อไหร่ ดังนั้นการลงทุนในช่วงเดือนนี้ จะเป็นอย่างไร ทีมข่าว Wealthy Thai หาคำตอบมาให้นักลงทุนแล้ว ผ่านการประเมินของบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด
โดยมีใจความว่า ประเมิน SET ในเดือน ส.ค. ยังคงมีโอกาสต่อการปรับลดลงต่อเนื่อง หลังจากเดือน ก.ค. (1-27 ก.ค.) SET ปรับ ลดลงกว่า 50.16 จุด (-3.2%) ซึ่งความเสี่ยงที่ยังคงกดดัน SET มาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ในประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มต่อเนื่อง แม้จะเริ่มมีการใช้มาตรการ Semi-Lockdown ทำให้น้ำหนักต่อการปรับเพิ่มน้ำหนักมาตรการยังคงมีความเป็นไปได้
รวมไปถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่า สวนทางกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ลดลง Fund flow ที่ไหลออก (นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง) และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่ปรับเพิ่มขึ้น
ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศยังคงต้องติดตาม การส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของเฟด ในการประชุม Jackson Hole Symposium (26-28 ส.ค.) โดยคาดว่าเฟดจะเริ่มส่งสัญญาณการทำ QE Tapering ก่อนดำเนินการจริง ในช่วงไตรมาส 1/65 ประเด็นดังกล่าวจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุน และเพิ่มความผันผวนให้กับ SET ก่อนประชุม Jackson Hole Symposium จะมาถึง
ดังนั้นประเมินกรอบแนวรับของ SET ไว้ที่ 1,530 จุด และ 1,510 จุด ขณะที่ แนวต้านด้านบนประเมินไว้ที่ 1,575 จุด กลยุทธ์การลงทุน ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่ยังมีราคา Laggard และปัจจัย บวกเฉพาะตัว โดยเลือกหุ้นเด่นในเดือน ส.ค. 2564 ได้แก่ KBANK, BCH และ FSMART

KBANK ราคาหุ้นตอบรับเชิงลบไปแล้ว

KBANK แนวโน้มสำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/64 เป็นบวกเป็นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาส 2 เนื่องจาก 1. แนวโน้มของรายได้ดอกเบี้ยจากปัจจัยการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และ 2.การตั้งสำรองคาดว่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก 64 ที่ราว Credit Cost 1.6-1.8% แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะยังคงค่อนข้างเปราะบาง
อย่างไรก็ตาม จากมาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือลูกหนี้จากทั้งทางภาครัฐและทางธนาคารจะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวและจำกัดอัตราเร่งของการเติบโตของ NPL ในระยะสั้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีแนวโน้มชะลอตัวหลังจากการ WFH และกิจกรรมในสาขาที่ลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยเรายังคงแนะนำ "ซื้อ"ปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลงมาตอบรับความเสี่ยงเชิงลบไปมากแล้ว ราคาเป้าหมาย 177.00บาท

BCH ไตรมาส 3/64 จะเป็นจุดสูงสุดของปี

BCH เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 125%จากไตรมาสแรก ทำสถิติ New High หนุนจากรายได้เกี่ยวกับบริการโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ขณะที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/64 จะเป็นจุดสูงสุดของปี เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจ และคาดว่าจะสามารถตรวจคัดกรองโควิด-19 ในไตรมาส 3/64 ได้ราว 9 แสนถึง 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/64 ที่ 588,000 คน เราประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2,320 ล้านบาท เติบโต 89%จากปีก่อน จากการรับรู้รายได้เกี่ยวกับ บริการโควิด-19 ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งบริการตรวจคัดกรองโควิด19 การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และ Hospital อย่างไรก็ตามแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565 คาดว่าจะลดลง 32%จากปี 2564 เนื่องจากฐานกำไรปี 2564 ที่สูงผิดปกติ ซึ่งเป็นปีที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 29 บาท

FSMART คาดปี 64 ให้ยิลด์สูงถึง 5.40%

FSMART เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3%ช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 0.5%จากไตรมาสแรก จากการคาดว่ามูลค่าการเติมเงินมือถือลดลงราว 7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มูลค่าการโอนเงินเติบโตสูงในระดับ 24%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เราคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 64 จะเติบโตโดดเด่นจากเป้า การขยายตู้บริการบุญเติมเป็น 135,000 ตู้ในปี 64 และ 20,000 ตู้ ภายใน 3 ปี สำหรับตู้กาแฟสดเต่าบินที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าตู้ชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการเป็นตัวแทนธนาคารพาณิชย์อีกอย่างน้อย 1 ราย และให้บริการถอนเงินสดที่ตู้บุญเติมผ่าน K Plus เป็นครั้งแรก
รวมถึงบริษัทได้ดึงพันธมิตรอย่าง KBTG และ TG Fone เพื่อรุกธุรกิจสินค้าเงินผ่อนยกระดับการบริการให้ครบวงจรมากขึ้น โดยเราประเมินกำไรสุทธิปี 64 อยู่ที่ 479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3%จากปีก่อน และคาดเงินปันผลปี 64 อยู่ที่ 0.59 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yieldที่ 5.40% จึงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 13.40 บาท

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0