ผลไม้ไทย มีคุณภาพดีและมีรสชาติอร่อย เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อทั่วโลก แต่ยากในการดูแลรักษาคุณภาพสินค้า เพราะหลังการเก็บเกี่ยว โดยธรรมชาติพืชผักผลไม้สดยังคงมีการหายใจตามอัตราปกติเหมือนตอนที่ติดอยู่ลำต้น ซึ่งกระบวนการหายใจของผลไม้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลไม้สูญเสียความสด หากวางพืชผักผลไม้ในพื้นที่ที่มีระดับก๊าซออกซิเจนมาก ยิ่งส่งผลให้ผลผลิตเหี่ยวง่ายได้
เอทิลีน มีผลต่อการสุกของผลไม้
เอทิลีนเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้ผลไม้เกิดการสุก ดังนั้นวิธีการใดก็ตามที่มีผลลดอัตราการสร้างหรือยับยั้งการทำงานของเอทีลีนในพืชย่อมส่งผลให้ชะลอการสุกได้ โดยทั่วไปสภาพที่มีผลต่อการกระตุ้นการสร้างเอทิลีนในพืชได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจน การเกิดบาดแผลหรือชอกช้ำ รวมทั้งการเข้าทำลายของโรคและแมลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าว มีผลส่งเสริมการสร้างเอทิลีน แต่มี 3แนวทางที่สามารถยับยั้งการสร้างเอทิลีนหรือมีผลทำลายเอทิลีนได้แก่ 1.ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 2. อุณหภูมิต่ำ 3. การใช้สารดูดซับเอทิลีน โดยการใช้สารดูดซึบเอทิลีนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องใช้ในปริมาณที่มากพอ เพื่อให้การทำลายเอทิลีน เป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้เกษตรกรสามารถชะลอการสุกของผลไม้และยืดอายุการเก็บรักษาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ห้องเก็บรักษาที่สามารถควบคุมอุณหภูมิความชื้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจน จะทำให้อายุการเก็บรักษายาวนานมาก ในกรณีที่ไม่มีห้องเก็บรักษาผลไม้ ก็อาจดัดแปลงได้ โดยการเก็บผลไม้ในถุงพลาสติกแล้วใส่สารดูดซับเอทิลีนลงไปจากนั้นจึงนำไปเก็บไปในตู้เย็น
*ไอเดียเด็ด … ใช้ขี้เถ้าแกลบยืดอายุผลไม้สด *
ดร.กิตติ เมืองตุ้ม รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ชื่อว่า “ ขี้เถ้าแกลบเสริมฤทธิ์การชะลอการสุกของผลไม้ (Anti Ripening Pack) ”ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจสินค้าเกษตรได้อย่างน่าทึ่ง เพราะเทคโนโลยีชนิดนี้ ช่วยถนอมความสดของพืชผักผลไม้เอาไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจะถึงมือผู้บริโภค ส่งผลให้ผลงานวิจัยชิ้นนี้ ได้รับรางวัลนวัตกรรมข้าวไทยปี 2559 รางวัลที่ 1 ในระดับอุตสาหกรรม จัดโดย มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมป์และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สนช.
*จุดประกายแนวคิด *
ดร.กิตติ เจ้าของโครงการวิจัยที่ได้รับรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ ได้ร่วมมือกับ คุณเรืองศักดิ์ เตียเอี่ยมดี กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงสีข้าว ต.ประเสริฐ อุตรดิตถ์ จำกัด ศึกษาเรื่องการใช้ประโยชน์ของเหลือใช้จากขี้เถ้าแกลบของโรงสีข้าว โดยพบว่า การใช้ขี้เถ้าแกลบ เป็นวัสดุตัวกลางในการเสริมสารเสริมฤทธิ์ ที่มีประสิทธิภาพในการชะลอการสุกของผลไม้และลดอุณหภูมิในบรรจุภัณฑ์ได้
การใช้ขี้เถ้าแกลบ เป็นวัสดุตัวกลางในสารเสริมฤทธิ์ ที่มีประสิทธิภาพในการชะลอการสุกของผลไม้ และลดอุณหภูมิในบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้ สารดูดซับเอทิลีน เป็นที่รู้จักกันดี คือ ด่างทับทิม ที่สามารถทำปฎิกิริยาทางเคมีกับเอทิลีนทำให้เกิดเป็นสารแมงกานีสไดออกไซด์ และเอทิลีนไกลคอล ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเอทิลีนได้อีก
ดร.กิตติ ได้ปรับปรุงคุณสมบัติความเป็นรูพรุนของขี้เถ้าแกลบ โดยใช้สาร Glycerol เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับสารในรูพรุน และการใช้สารที่สามารถกักเก็บได้ในรูพรุนขี้เถ้าแกลบ คือสารเคมีในกลุ่ม KMnO4และ Propylene glycol เพื่อประโยชน์ในการทำให้ชะลอการสุกของผลไม้ได้ ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า แนวคิดดังกล่าวสามารถชะลอการสุกของกล้วยหอมได้ 2 สัปดาห์ (โดยใช้ผลิตภัณฑ์ขี้เถ้าแกลบ 25 กรัม ต่อกล้วย 1 หวี หรือ 8 ผล)
ผลิตภัณฑ์ขี้เถ้าแกลบ สามารถช่วยชะลอการสุกของทุเรียนได้ 2 สัปดาห์ ( โดยใช้ผลิตภัณฑ์ขี้เถ้าแกลบ 150 กรัม ชะลอการสุกของทุเรียน 2 ผลที่มีน้ำหนักเฉลี่ยผลละ 2 ก.ก. ) และชะลอการสุกของลางสาดได้1 สัปดาห์ (ใช้ผลิตภัณฑ์ขี้เถ้าแกลบ 150 กรัม ชะลอการสุกของลางสาด 2 กิโลกรัม)
ผลงานวิจัยชิ้นนี้ ช่วยสร้างผลดีต่อธุรกิจสินค้าเกษตรไทยในวงกว้าง เพราะช่วยชะลอการสุกงอม การสร้างก๊าซเอทิลีน ตลอดจนลดการเปลี่ยนสี กลิ่น และคุณค่าทางอาหารของผลผลิต ทำให้ผลไม้สดสมบูรณ์จนถึงมือผู้บริโภคได้ในปริมาณมากขึ้น ลดปริมาณความเสียหายของสินค้าเกษตรให้ลดลง โดยมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก
“ ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ มุ่งเจาะตลาดกลุ่มผู้ส่งออกผลไม้ และเกษตรกร รวมทั้ง วางแผนกระจายสินค้าตัวนี้ลงสู่ตลาดค้าส่ง ค้าปลีกตามห้างและร้านค้าปลีกทั่วไป เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคผลไม้ ที่ต้องการเก็บผลไม้ไว้ได้นานโดยไม่ใส่ตู้เย็น ” ดร.กิตติกล่าว
สำหรับสารชะลอการสุกของผลไม้ชนิดนี้ ใช้งานง่ายมาก ดร.กิตติให้คำแนะนำว่า หากต้องการชะลอการสุกของผลไม้ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ขี้เถ้าแกลบ จำนวน 3 ซองต่อผลไม้น้ำหนัก 100 กรัม ( 30 ซองต่อผลไม้ 1 กิโลกรัม ) โดยนำสารชะลอการสุกไปใส่ไว้ร่วมกับผลไม้ก่อนบรรจุในภาชนะ หรือกล่องกระดาษ จะสามารถยืดอายุผลไม้ไปได้ประมาณ 1 สัปาดห์ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ขี้เถ้าแกลบจำนวน 1 ซอง สามารถใช้ได้กับผลไม้ประเภทต่างๆ ได้แก่ กล้วย 2 หวี กีวี 3 ผล น้อยหน่า 1 ผล มะม่วง 1 ผล หากใช้ในปริมาณ 1 แพค จำนวน 30 ซอง จะสามารถใช้กับทุเรียน 1 ผล และผลไม้อื่นๆ ในปริมาณน้ำหนัก 1 กิโลกรัม
ผลงานวิจัยชิ้นนี้ ถือว่าสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขี้เถ้าแกลบได้มากถึง 50 เท่า เมื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 15 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ราคาจำหน่าย 150 บาทต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม (แบบแพค) ราคาจำหน่ายปลีก 25 บาทต่อ1 กล่อง ( จำนวน 30 ซองปริมาณ 2 กรัม)
หากใครสนใจอยากใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลงานวิจัยชิ้นนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร.กิตติ เมืองตุ้ม รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เบอร์ โทรศัพท์ 088-834-4434