โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

“แมทธิว-ลิเดีย”เล่าประสบการณ์รักษาตัวใน รพ. หลังติดเชื้อ โควิด19 หวังเป็นประโยชน์ให้คนอื่นดูแลตัวเองมากขึ้น

TODAY

อัพเดต 31 มี.ค. 2563 เวลา 19.32 น. • เผยแพร่ 31 มี.ค. 2563 เวลา 14.40 น. • Workpoint News
“แมทธิว-ลิเดีย”เล่าประสบการณ์รักษาตัวใน รพ. หลังติดเชื้อ โควิด19 หวังเป็นประโยชน์ให้คนอื่นดูแลตัวเองมากขึ้น

แมทธิว ดีน พร้อมกับภรรยา ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ออกมาเล่าประสบการณ์อย่างละเอียด หลังเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ตั้งแต่วันแรกที่ติดเชื้อ หวังเป็นประโยชน์ให้คนอื่นดูแลตัวเองมากขึ้น เพราะไม่อยากให้ใครมาอยู่ในสภาพเช่นนี้  ถึงวันนี้ แมทธิว รักษาตัวมา 19 วัน ส่วนลิเดีย 17 วัน ทั้งคู่คาดว่าร่างกายปกติ ประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ผลยังเป็นบวกอยู่

แมทธิว-ลิเดีย ขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หลังติดเชื่อโควิด 19

โดย แมทธิว เล่าว่า

เข้ารักษาตัวตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม หลังมีอาการในวันที่ 12 มีนาคม ทางโรงพยาบาลให้พักอยู่ในห้องที่ทั้งชั้นมีเฉพาะผู้ป่วยโควิด 19 เข้ามาตอนแรกตนมีไข้ แต่ไม่ได้สูงมาก เมื่อเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลมีการเช็คอาการต่างๆ ในเรื่องของปอด เลือด ออกซิเจน คุณหมอบอกว่า อาการที่แมทธิวเป็นอยู่ถือว่าน้อย และแผนการรักษาของแมทธิวคือ ปล่อยให้หายเอง เพราะดูจากพื้นฐานทางร่างกาย วัย และความแข็งแรง น่าจะหายเองได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ในตอนนั้นแมทธิวเผยว่า รู้สึกดีและคิดว่าตัวเองคงไม่ต้องกินยา

หลังจากนั้น แมทธิวอยู่ในโรงพยาบาลได้ประมาณ 2 วัน อาการคือไม่มีไข้แล้ว แต่พออยู่ต่อมาถึงวันที่ 5 อาการไข้กลับมา อุณหภูมิ 37-38°C และมีอาการท้องเสียด้วย หลังจากคุณหมอทราบ ได้ทำการเอ็กซ์เรย์ปอดเพิ่มเติม จากที่ไม่มีอะไร กลายเป็นว่า วันที่ 5 พบปอดด้านขวา อักเสบแล้ว หมอจึงตัดสินใจว่าจะต้องทำการรักษา หากอาการกลับมาแบบนี้ คือมีความเสี่ยง และคุณหมอได้จัดยาให้กิน

ส่วนทางด้านลิเดีย เผยว่า ตนนั้นแตกต่างจากอาการของแมทธิว คือ มีไข้มาตลอด แต่ไม่ได้สูงมาก คุณหมอได้เอ็กซ์เรย์ปอด ทุกอย่างปกติดี ออกซิเจนก็ปกติดีทุกอย่าง สิ่งเดียวที่เป็นตัวบ่งบอกว่าผิดปกติ คือ มีไข้ ตนจึงรู้สึกว่าทุกอย่างน่าจะเป็นอะไรมาก เพราะอาการคัดจมูก เจ็บคอ หายหมดแล้ว คิดว่าร่างกายคงขับไวรัสออกไปเอง คงจะหายแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นคุณหมอสั่งให้ทำ CT สแกน และพบว่า ปอดทั้ง 2 ข้างเริ่มอักเสบเหมือนกัน  เมื่อไวรัสเข้าไปในปอด ทำให้ปอดเป็นมีลักษณะขาวๆ ทั้งสองข้าง และต้องเริ่มยาทันที ไม่ควรเสี่ยง เพราะหากไวรัสขยายไปทำให้ปอดอักเสบเพิ่มเติม อาจจะทำให้แย่ลง

แมทธิว เล่าเพิ่มเติมว่า หากเลือกได้ ทั้งสองคนไม่อยากกินยา เพราะคุณหมอบอกว่า หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากให้กิน เพราะมีผลข้างเคียงกับการกินยาหลายๆตัวพร้อมกัน รวมไปถึงข้อมูลที่มีไม่มาก สำหรับการรักษาแบบนี้ จึงควรเลี่ยง แต่เนื่องด้วยมีอาการที่ชัดเจน และไม่ควรเสี่ยง จึงควรจะกินยาทันที และได้ย้ายไปอยู่ที่ ICU ทั้งคู่ เพื่อที่จะเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าหากลุกลามเข้าไปในปอดมากกว่าเดิม จะได้มีอุปกรณ์ต่างๆที่ช่วยได้ แมทธิวอยู่ใน ICU 2-3 วัน ส่วนลิเดียต้องอยู่ใน ICU ถึง 5 วัน

หลังจากกินยา ทั้งคู่รู้สึกว่ายาได้ผลค่อนข้างเร็ว กินแล้วหายไข้เลยทันที และอาการดีขึ้น ยาที่กิน มียาต้าน HIV และยาต้านไวรัสต่างๆ 3-4 ตัว และต้องกินยานี้อย่างต่อเนื่อง 10 วัน ทำให้มีอาการข้างเคียง สำหรับแมทธิวมีอาการท้องเสียเล็กน้อย ส่วนลิเดียเผยว่า อาการจากไวรัสเองอาจจะไม่มีอะไรมาก หายใจติดขัด แน่นหน้าอกบ้าง แต่มีอาการจากผลข้างเคียงของยา คือเวียนหัว คลื่นไส้ ตามัว และเบลอ หลังจากกินยาครบ 10 วัน อาการข้างเคียงเริ่มหายไป ตอนนี้รู้สึกค่อยข้างจะปกติ ประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญหาตอนนี้คือ ผลยังเป็นบวกอยู่

สิ่งที่ทรมานที่สุดสำหรับลิเดีย คือการต้องอยู่ในความกลัว ความกังวลว่า มันจะลามปอดเรามากไปกว่านี้ไหม ไข้จะกลับมาไหม แล้วมันจะหายเมื่อไหร่ ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้

แมทธิวเชื่อว่า หมอไทยซึ่งเก่งมากๆ และสภาพร่างกายตอนนี้ มั่นใจว่า เราต้องกลับมาฟื้นตัวเต็มที่อย่างแน่นอน มีความหวังว่าหลังจากวันนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่อยากให้คนอื่นๆต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ถึงแม้ร่างกายจะไม่เจ็บหนักมาก แต่การอยู่กับความกังวล ห่างจากลูก จากครอบครัว หลายสัปดาห์ ก็มีผลต่อจิตใจมากๆ ไม่อยากให้ทุกคนประมาท ทำตามคำแนะนำ อยู่ห่างๆกันไว้ และสู้ไปด้วยกัน การอยู่บ้านก็เป็นการช่วยทีมแพทย์ เพราะบุคลากรของเราไม่ได้มีเพียงพอสำหรับผู้ป่วยเยอะๆในเวลาเดียวกัน ปัญหาของโรคนี้คือ ติดง่าย แต่ตัวไวรัสมันตายช้า และแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนเข้ามารักษาพร้อมลิเดีย แต่อาการทรุดลงก็มี เพราะฉะนั้นจึงเป็นอะไรที่ไม่แน่ไม่นอน ไม่ใช่แค่คนที่อายุเยอะอย่างเดียวที่มีความเสี่ยง ถึงอย่างไรก็ตามทุกคนอยู่ในสภาวะเสี่ยง อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี เป็นกำลังใจให้กับทุกคน ส่วนตัวหวังว่าผลจะเป็นลบ และได้กลับบ้านไปหาลูกเร็วๆนี้  พร้อมขอบคุณทีมแพทย์ที่ช่วยเหลือชีวิตตนไว้ ทีมแพทย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่มาทำงานด้วยใจจริงๆ

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0