โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“เอไอ” ป่วนตลาดหุ้น แก้เกม..! ก่อน “ตกเทรนด์” 

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - Business News

เผยแพร่ 16 มิ.ย. 2561 เวลา 18.00 น.

ปฏิเสธไม่ได้ความก้าวหน้าของ"เทคโนโลยีดิจิทัล"กระทบต่อทุกภาคส่วนธุรกิจ ไม่เฉพาะภาคการเงิน ที่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีคำฮิตอย่าง"พร้อมเพย์" (PromptPay)และ"ฟินเทค" (FinTech)คำเรียกรวมๆ ซอฟต์แวร์ให้บริการทางการเงิน

ทว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลกำลังคืบคลาน เข้ามาปั่นป่วน"ตลาดทุน"รวมถึงการทำงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)มากขึ้นเรื่อยๆผ่านการเกิดนวัตกรรม และรูปแบบการลงทุน ระดมทุนธุรกิจใหม่ๆ และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

สะท้อนผ่านICO หรือ Initial Coin Offeringซึ่งเป็นการ"ระดมทุน"และการนำเงินไป"ลงทุน"เพื่อที่จะเปิดตัวโครงการ หรือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท โดยมีการออกเหรียญดิจิทัลมาเพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในโปรเจคดังกล่าว

"หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ก็คือ ตัว ICO จะคล้ายคลึงกับ IPO"ที่เรารู้จักกันดี เพียงแต่ตัวหุ้นนั้นจะถูกแทนที่ด้วยเหรียญดิจิทัล และสามารถนำไปแลก หรือซื้อขายเป็นเหรียญสกุลอื่นๆอย่าง Bitcoin

รวมถึงการใช้Biometricในการยืนยันตัวตน การใช้"ปัญญาประดิษฐ์" (Artificial Intelligence -AI)ในการที่จะศึกษาพฤติกรรมผู้ลงทุน และพัฒนาบริการใหม่ๆ ให้แก่ผู้ลงทุน หรือการให้บริการRobo-Adviors (ปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามาให้คำปรึกษาด้านการลงทุน)ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจปัจจุบันต้องปรับตัวและใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจทั้งสิ้น

ฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่นิ่งเฉยไม่ได้…!!"ดร.ภากร ปีตธวัชชัย"กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย"คนที่ 13"ของตลาดหุ้นไทย ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมายอมรับว่า ปัจจุบันมี 4 ปัจจัยเข้ามากระทบการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ

ข้อแรกสุดคือ"เทคโนโลยี"มาจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ บล็อกเชน (Blockchain), คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) เป็นต้น เรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับไม่ใช่แค่ภาคการเงิน แต่รวมถึงประชาชน ระบบเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ คงอยู่เฉลยไม่ได้

ข้อสอง"การเปลี่ยนแปลงของประชากร"เมืองไทยกำลังเข้าสู่"สังคมผู้สูงอายุ" (Aging Society)แต่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกลับยังไม่ได้เริ่มต้นลงทุนเลย ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ คงไม่สามารถทำงานเหมือนเดิมได้

ข้อสาม"การเชื่อมต่อระหว่างไทยกับโลก"ปัจจุบันเริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติเข้าออกประเทศมากขึ้นและบ่อยขึ้นด้วย

และข้อสี่"ภาครัฐเริ่มเห็นประโยชน์ตลาดทุน"จากการพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนให้มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นและเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น ส่งเสริมให้สตาร์อัพเติบโต และสิ่งที่ตอนนี้เราจะเห็นภาครัฐพูดบ่อยๆ คือ"ตลาดทุนจะเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจในอนาคตให้มากขึ้นได้อย่างไร"

ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจึงเป็นทั้ง"โอกาส"และ"ความท้าท้าย"ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะปรับเน้นการทำงานภายใต้แนวความคิด"Creating Partnership Platform to Drive Inclusive Growth"เพื่อขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการ"สร้างจุดเปลี่ยน-เสริมจุดปรับ-ชูจุดขาย-คงจุดยืน"

การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างจุดเปลี่ยน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของตลาดแบบครบวงจร โดยเฉพาะการนำ"ข้อมูลขนาดใหญ่" (Big Data)มาวิเคราะห์ เพื่อเหมาะสมกับการบริการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน , นักวิเคราะห์ (โบรกเกอร์) , บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานได้ง่ายขึ้น และสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดี

ต้องนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการแบบครบวงจร (end-to-end service) พร้อมสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเน้นการทำงานร่วมกับผู้ร่วมตลาดทุน เพื่อต่อยอดบริการและสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานให้แก่อุตสาหกรรม

"ปัจจุบันมี Platform ที่ครบถ้วน แต่อยากให้มีการบริการต่อเนื่องที่เหมาะสมกับลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ให้คำปรึกษาได้รับบริการที่ดี ซึ่ง ตลท. จะดำเนินการเองทั้งหมดคงทำได้ยาก ดังนั้นต้อง Partnership เช่น บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทฟินเทค เข้ามาบูรณาการความรู้ร่วมกันพัฒนาในอนาคต"

"เสริมจุดปรับ"เตรียมพร้อมบุคลากรในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดทุน ในการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสร้างธุรกิจใหม่ ขณะเดียวกันจะเดินหน้าปฏิรูปกฎเกณฑ์และขั้นตอนการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดอุปสรรคในการทำธุรกิจและการลงทุน

"ชูจุดขาย"สร้างตลาดทุนไทยให้"โดดเด่น"ยิ่งขึ้นเป็น Market of Well-being ในเวทีโลก เนื่องจากกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์ และอาหาร เป็นจุดแข็งของประเทศ ส่งเสริมการเชื่อมโยงการระดมทุนและลงทุนของตลาดทุนไทยและตลาดทุนต่างประเทศ โดยทำงานร่วมกับผู้ร่วมตลาด รวมถึงการระดมทุนโดยใช้ Infrastructure Fund และ Infrastructure Trust ผ่านตลาดทุนไทยเป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค โดยเฉพาะ CLMV และพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นจุดเชื่อมโยงการลงทุนในอาเซียน

"คงจุดยืน"ส่งเสริมตลาดทุนไทยให้เติบโตยั่งยืนอย่างมีคุณภาพในทุกมิติ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่ทั้ง SMEs และ Startup เติบโตผ่านการใช้ตลาดทุนไทย และให้ประเทศไทยมี ecosystem ที่เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการรายใหม่และมีศักยภาพสูง

"เอ็มดีคนที่13"ยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามจะสร้างจุดขายใหม่ให้กับตลาดหุ้นไทย จากช่วงที่ผ่านมาได้ใช้ธีมหลักของประเทศ คือ"ไทยแลนด์ 4.0"ซึ่งจากนี้จะพยายามนำเสนอในธีมMarket of Well-beingเนื่องจากกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์ และอาหาร เป็นจุดแข็งของประเทศ ส่งเสริมการเชื่อมโยงการระดมทุนและลงทุนของตลาดทุนไทยและตลาดทุนต่างประเทศ

"เมืองไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีในระดับโลก โดยบริษัทจดทะเบียนไทยติดอันดับต้นๆ ของธุรกิจระดับโลก เช่น AOT(บมจ.ท่าอากาศยานไทย)เป็นผู้บริหารสนามบินอันดับ 1 ของโลก โรงพยาบาลไทยติดอันดับ 5 ของโลก ธุรกิจโรงแรมไทยติดอันดับ 10 กว่าของโลก รวมถึงร้านอาหารไทยเป็นอันดับ 27 ของโลก"

นอกจากนี้ ยังจะพยายามจะหาเครื่องมือ"ลดค่าใช้จ่าย"การดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน หรือบริษัทในอุตสาหกรรมตลาดทุน โดยที่ผ่านมามีการดำเนินงาน Platform Fundconnect ต่อเชื่อมขายกองทุนรวม และตัวแทนขายกองทุนรวม

รวมถึงFinNetที่เริ่มให้บริการระบบกลางในการชำระเงินสำหรับตลาดทุน จากเดิมใช้ระบบของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้สามารถทำธุรกรรมได้เฉพาะธนาคารเดียวกัน และหลังจากนี้ จะพัฒนาให้สามารถทำธุรกรรมข้ามธนาคารได้ สะท้อนจุดยืนหน้าที่ของตลท. ที่จะเป็นผู้พัฒนา platform เรื่องโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนอีกด้วย

ทั้งนี้ยังจะสนับสนุนให้ Start Up เข้าถึงการระดมทุนในตลาดทุนมากขึ้น โดยหาช่องทางที่สะดวกให้ Start Up เข้ามาใช้ประโยชน์ เพราะ ตลท.มีความสามารถเรื่องการทำ Platform ซึ่งคงต้องเป็นการทำงานร่วมกันกับภาครัฐ

ขณะที่"ดร.อุตตม สาวนายน"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงาน "จุดเปลี่ยนตลาดหุ้นไทยด้วย Robo-Advisor" ว่า ปัจจุบันตลาดเงิน-ตลาดทุนของประเทศมีมูลค่า"มหาศาล"และมีบทบาทสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากอิทธิพลของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต

ในเรื่องนี้ถือว่า ตลาดทุนจะมีบทบาทมากในด้านการลงทุนในอนาคต ที่จะทำให้ภาคเอกชนของไทยลงทุนผ่านตลาดทุนในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งวันนี้คือสิ่งที่ประเทศไทยกำลังใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก ไล่มาตั้งแต่ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ , คราวด์ฟันดิ้ง นี่คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยและใช้ประโยชน์จากตลาดทุนตลาดเงิน

อีกด้านที่มีความสำคัญมากเช่นกัน นั่นคือ"Robo-advisor"เป้าหมายคือ"บุคคลทั่วไป"วันนี้เทคโนโลยีไม่ใช้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเป็นเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์กับคนวงกว้าง ซึ่ง Robo-advisor ถือเป็นการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนได้ทุกเวลาในเรื่องนี้ถ้าจะช่วยให้คนตัวเล็กอย่างผู้ประกอบการบริษัทขนาดกลางและย่อม (SMEs) ร่วมไปถึง สตาร์อัพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบตลาดเงินตลาดทุน

นอกจากนี้ ตลาดทุนยังเป็นกลไกลสำคัญในการระดมทุนพัฒนายกระดับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานประเทศ (บก-ราง-น้ำ-อากาศ) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการเงินทุนทั้งนั้น หากจะกู้เงินอย่างเดียวอาจจะทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นได้ ดังนั้น การใช้ตลาดทุนกำลังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการหาเงินมาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยได้

"วันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงปรับเปลี่ยนสำคัญเทคโนโลยีมีเงินเราก็ซื้อได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องของคนว่าเรามีคนที่พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่จริงหรือเปล่า ถือเป็นเรื่องที่เราต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน"

ด้านผู้ประกอบการเอกชนอย่าง"ชลเดช เขมะรัตนา"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัดกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ส่งผลให้ปัจจุบันตลาดทุนไทยมีนวัตกรรมด้านการลงทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย และทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือนักลงทุนยังคงเป็นคนกลุ่มเดิม และเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ

ขณะที่ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยสมบูรณ์ แต่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกลับยังไม่ได้เริ่มต้นลงทุนเลย เนื่องจากขาดช่องทางการลงทุนที่ง่ายและสะดวก สังคมไทยจึงจำเป็นต้องมี Robo-advisor เข้ามาช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับคนทุกชนชั้น

ฉะนั้นแอพพลิเคชั่น"odini" เป็นRobo-advisorที่นำ Quantitative Model และ Artificial Intelligence มาทำ Asset Allocation และเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนแต่ละประเภท รวมทั้งส่งคำสั่งซื้อขายแบบอัตโนมัติภายใต้เงื่อนไขที่นักลงทุนเลือก เพื่อวางแผนการลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุนแต่ละคน

"Robo-advisor เป็น Fintech ประเภท Wealth Tech ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และกำลังกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลก"

เขา บอกว่า บลน. โรโบเวลธ์ จึงได้นำเสนอแอพพลิเคชัน โอดีนี่ ในกองทุนรวมแบบอัตโนมัติด้วย Robo-advisor ขึ้นเป็นรายแรกของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด"ลงทุนง่าย ได้ทุกคน" เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้"ง่าย"เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชันพร้อมเปิดบัญชีได้อย่างสมบูรณ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบบจะลงทุนให้แบบอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่นักลงทุนเลือก

โดยเน้นความ"สะดวก"ผูกบัญชีเข้ากับระบบ Mobile Banking ของธนาคารชั้นนำที่มีอยู่แล้วได้ทันที ช่วยให้ลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งสามารถตั้งเงื่อนไขลงทุนรายเดือนแบบอัตโนมัติ Dollar Cost Averaging (DCA) เพื่อเพิ่มวินัยการลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้ โดยที่กระบวนการทำงานทุกขั้นตอนของ Robo-advisor

รวมทั้งมีความ"น่าเชื่อถือ"เนื่องจากถูกสร้างจากโมเดลทางการเงินซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งขั้นตอนการทำ Asset Allocation และการคัดเลือกกองทุนรวมมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากเว็บไซต์ของบริษัท

"ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์"รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงาน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่า แอพพลิเคชั่น odini ถือเป็นตัวแรกในตลาดทุน ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวัน หรือว่าจะเป็นในส่วนของตลาดทุน หากย้อนกลับไปดูสถิติประชากรไทย 70 ล้านคน ปัจจุบันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ราว 30-40 ล้านคน ซึ่งคนไทยส่วนใช้เทคโนโลยีผ่าน"สมาร์ทโฟน"

โดยปัจจุบันชีวิตไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ใช้โซเชียวมีเดียจากสถิติเราใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 9.38 ชม. และใช้โซเชียลมีเดียว 3.1 ชม. แสดงให้เห็นว่าคนไทยหาข้อมูลและใช้โซเชียวมีเดียมาก แต่ปัจจุบันการใช้งานของคนไทยไม่ได้อยู่แค่การหาข้อมูล แต่ในตลาดทุนเรื่องของเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยกตัวอย่าง การซื้อขายหลักทรัพย์และการซื้อขายกองทุน ในปัจจุบันในเมืองไทย จำนวนบัญชีการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ 2.2 ล้านบัญชี มีการเปิดใช้การซื้อขายผ่านประมาณ 80%

ปัจจุบันตัวเลขการเปิดบัญชีกองทุนราว 5.4 ล้านบัญชี ซึ่งในอนาคตคนไทยก็จะใช้เทคโนโลยีในการหาข้อมูล และส่งคำสั่งซื้อขายมากขึ้น ในปัจจุบันในวงการตลาดเงินตลาดทุนการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านกองทุนรวมมากขึ้น

-------------------------------

"คนรุ่นใหม่"ฮิตนวัตกรรมลงทุน

"ชลเดช เขมะรัตนา"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัด กล่าวว่า แอพพลิเคชั่น odini เป็น Robo-advisor ที่ช่วยให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้"ง่าย"ภายใต้แนวคิด"ลงทุนง่าย ได้ทุกคน"ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันพร้อมเปิดบัญชีได้อย่างสมบูรณ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบบจะลงทุนให้แบบอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่นักลงทุนเลือก

โดยเน้นความ"สะดวก"ผูกบัญชีเข้ากับระบบ Mobile Banking ของธนาคารชั้นนำที่มีอยู่แล้วได้ทันที ช่วยให้ลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งสามารถตั้งเงื่อนไขลงทุนรายเดือนแบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มวินัยการลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้ โดยการทำงานทุกขั้นตอนของ Robo-advisor มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นโมเดลทางการเงินซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

สำหรับ กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้งานประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่ยังไม่เคยลงทุนมาก่อน เนื่องจากมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องยุ่งยากและไกลตัว 2. กลุ่มที่เคยลงทุนมาบ้าง แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดวินัยการลงทุน และ 3. กลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเงินเป็นอย่างดี แต่ไม่มีเวลาดูแลการลงทุนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากขาดตัวช่วยด้านการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

โดยบริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2561-2563) จะมีลูกค้าเข้าสู่ระบบผ่านทาง odini ไม่ต่ำกว่า 200,000 ราย ซึ่งมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้นำด้านโทรคมนาคมของประเทศซึ่งมีฐานลูกค้ากว่า 40 ล้านราย

นอกจากนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ยังมีดารานักแสดง"คริส หอวัง"บอกเล่ามุมมองต่อการลงทุน ว่า ปัจจุบันมีการลงทุนอยู่บ้างแต่ไม่มาก ซึ่งตนเองทำงานได้เงินจะแบ่งมาลงทุนในธุรกิจและในตลาดหุ้น ซึ่งแอพพลิเคชั่น odini ถือว่าเป็นการตอบโจทย์การลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุนแต่ไม่มีเวลา และง่ายสามารถเข้าถึงตลาดทุนด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทเท่านั้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0