ปี2562 อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์มีมูลค่าตลาดราว9,000 ล้านบาทและยังมีอัตราเติบโตที่ดีทว่าปี2563 สถานการณ์ตลาดไม่สวยหรูเพราะโรคโควิด-19 กลายเป็นปัจจัยช็อก!โลกส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนธุรกิจหลายเซ็กเตอร์สาหัสจากการปิดกิจการในช่วง“ล็อกดาวน์” หนึ่งในนั้นคือธุรกิจโรงภาพยนตร์ ตั้งแต่18 มี.ค.ที่ผ่านมาต้องปิดให้บริการจนถึง31 พ.ค.รวม75 วันที่รายได้เป็น“ศูนย์”
ล่าสุดศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) หรือศบค.ประกาศผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่3 โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการได้ตั้งแต่1 มิ.ย.2563 โดยยังคงมีมาตรการรักษาระยะห่างทำความสะอาดเข้มข้นที่นั่งให้บริการได้แค่25% เท่านั้นหมายถึงยังคงเสียรายได้75% ผู้ประกอบการใน2 รายใหญ่ค่ายเมเจอร์และเอสเอฟจะปรับตัวทำธุรกิจอย่างไร!
เป็นผู้นำตลาดที่รายได้ทะลุ“หมื่นล้านบาท” แต่ไตรมาสแรกเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ประสบภาวะขาดทุนกว่า250 ล้านบาทดังนั้นภารกิจจากนี้คือกอบกู้รายได้หาทางเติบโตโดย นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดบริษัทเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์กรุ้ปจำกัด(มหาชน) เล่าแผนงัดอาวุธการตลาดทุกรูปแบบมาดึงผู้บริโภคให้มาเสพความบันเทิงนอกบ้านด้วยการดูภาพยนตร์
หมัดเด็ดสุดคือ “คอนเทนท์” หรือภาพยนตร์ไทย-เทศฟอร์มเล็กใหญ่ ต้องเร่งโปรโมทและผสานค่ายภาพยนตร์เพื่อนำออกมาฉายดึงคนดูโดยระยะแรกภาพยนตร์เก่าๆราว50% ถูกนำมาฉายอีกครั้งและภาพยนตร์ไทยอย่างพจมานสว่างคาตาภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เสริมทัพเช่น TENET หนังสายลับของผู้กำกับ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” จากค่ายวอร์เนอร์ที่ยืนยันไม่เลื่อนฉาย“มู่หลาน” จากวอลท์ดีสนีย์
“หนังไม่มีวันหมดอายุ ไม่ใช่ของเสีย ที่เคยฉายแล้วนำมาฉายได้ และไตรมาส 4 จะมีหนังใหญ่ฉายทุกสัปดาห์ต่อเนื่อง”
เมเจอร์ไม่รอแค่ภาพยนตร์จากค่ายอื่นเพราะบริษัทมีสตูดิโอและผนึกพันธมิตรสร้างภาพยนตร์สู่ตลาดโดยเฉพาะภาพยนตร์ไทยปี2563 มี20 เรื่องเมื่อฉายจอเงินยังหารายได้จากจออื่นทั้งต่างประเทศสตรีมมิ่งค่ายต่างๆ
การดึงคนยังงัดโปรโมชั่นเต็มที่เมื่อซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านแอพพลิเคชั่นMajor Cineplex รับส่วนลด30 บาทต่อที่นั่งสมาชิกบัตรM Gen Regular รับส่วนลด50 บาทต่อที่นั่งสมาชิกM Gen ทุกประเภทเมื่อซื้อผ่านApp Major Cineplex รับคะแนนเพิ่ม5 เท่าเป็นต้นซึ่งสมาชิกบัตรมีมากกว่า1.5 แสนรายและยังเป็นการกระตุ้นยอดขายออนไลน์ให้แตะ50% และ80% เหมือนในจีนจากปัจจุบัน15%
กลยุทธ์เหล่านี้ นรุตม์ ต้องการสร้างยอดขายตั๋วให้ได้กว่า90% จากสัดส่วนที่ให้บริการได้25% หวังฟื้นยอดขายทั้งปีให้“ทรงตัว” เท่าปีก่อนที่ขายตั๋วราว35.5 ล้านใบรายได้ทั้งปี62 กว่า1.1 หมื่นล้านบาทกำไรกว่า1,100 ล้านบาท
จะต้องการเปิดให้บริการหรือ“ปิดต่อ” แต่นาทีนี้ต้องเดินหน้าเมื่อรัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์ห้างกลับมาเปิด“ต้นทุน” การดำเนินงาน“วิ่ง” แล้วเมื่อทางเลือก!ไม่มี พิมสิริ ทองร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัทเอสเอฟคอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) จึงงัดแผนงานทุกอย่างมาใช้เริ่มจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิดสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ามาใช้บริการและออนไลน์ถูกนำมาตอบสนองพฤติกรรมการซื้อตั๋วและดูภาพยนตร์ของผู้บริโภค
พิมสิริ ทองร่มโพธิ์
การกลับมาขายที่นั่งได้เพียง25% นาทีนี้จึงเร่งโปรโมทหน้าหนังให้แฟนๆรับรู้ภาพยนตร์ดีเด็ดมีเท่าไหร่จะอัดเข้าโรงเต็มที่เมื่อเข้าฉายจะ“ยืนระยะ” ให้นานเป็นเดือนจากเดิมฉายราว2 สัปดาห์
ทั้งนี้มาตรการเคอร์ฟิวการตั้งการ์ดป้องกันโรคยังเข้มข้นทำให้จำนวนรอบฉายลด2 รอบต่อวันจาก4-5 รอบต่อวันแต่ภาพรวมของต้นทุนการบริหารจัดการมหาศาลเฉลี่ยต่อเดือนหลัก“ร้อยล้าน” ทำให้บริษัทต้องหาทางลดต้นทุนรอบด้าน
นอกจากนี้เปิดโรงภาพยนตร์แบบปัจจุบันทั้งที่ควรมีเวลาเตรียมตัว3 สัปดาห์โปรโมททำให้เดินหน้าเจรจากับพันธมิตรรัฐเพื่อหาทางช่วยเหลือลดผลกระทบประคองกิจการกันไป
ปีนี้ครบ20 ปีของเอสเอฟเดิมบริษัทมีโปรเจคมากมายเพื่อสร้างปรากฏการณ์ทั้งการขายตั๋วเพิ่มขึ้นจากปีก่อน20 ล้านบาท ปี2563 พลาดเป้าแน่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ระดมทุนไตรมาส3 ต้อง“นับหนึ่ง” อีกครั้งเพราะตามเกณฑ์ตลาดฯต้องทำกำไร3 ปีติดต่อกันอย่างไรก็ตามบริษัทยังมีการเงินแกร่งและเดินหน้าลงทุนขยายโรงภาพยนตร์4 แห่งปีนี้งบลงทุนราว70 ล้านบาทต่อโรง
“ช่วงธุรกิจปิดให้บริการทุกคนคงทำเหมือนกันคือดูต้นทุนลดรายจ่ายในรายละเอียดมากขึ้นเมื่อกลับมาเราจัดรอบฉายให้ดีที่สุดเพราะการกลับมาโอกาสขายที่นั่งมีเพียง25% แต่ต้นทุนเรากลับมาปกติ”
อย่างไรก็ตามต้นทุนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นทั้ง2 ค่ายยังคงจำหน่ายตั๋วหนังในราคาเดิมเอสเอฟเฉลี่ย160 บาทต่อที่นั่งส่วนเฟิร์สคลาสราว900 บาทต่อที่นั่ง