“เป็กกี้ ศรีธัญญา” เห็นฮาๆอย่างนี้ชีวิตจริง“ไม่ตลก” อย่างที่เห็น
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “เป็กกี้ ศรีธัญญา” ผู้สร้างความบันเทิงและเสียงหัวเราะมากมายบนจอทีวี แต่รู้หรือไม่ว่า…ในช่วงชีวิตของเธอคนนี้ มันก็มีช่วงที่ไม่ตลกอยู่เหมือนกัน
จะบอกว่า “เป็กกี้ ศรีธัญญา” คนนี้เป็นคนขยันทำมาหากินตั้งแต่เด็กก็ว่าได้ “สมัยก่อนเราอยากได้อะไรเราไม่เคยขอเงินคุณแม่” เป็กกี้เล่าถึงตัวเอง “เราเอาเสียงเพลงไปแลก ไปเต้นๆ แถวบ้านมีงานอะไร หรือคุณครูมีกิจรรรมอะไร พี่ก็จะไปหาทิปเพื่อไปซื้อของที่อยากได้”
แต่มรสุมชีวิตก็พัดเอาวิกฤติชีวิตมาพร้อมกับสายลม เมื่อบุคคลคนเดียวอันเป็นที่รักยิ่งต้องลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ “พอคุณแม่เราเสีย และเราก็ไม่มีคุณพ่อ ทุกอย่างที่มีที่เคยสบายก็หมด”
“ดิ่งค่ะ ดิ่งลงถึงขั้นตุ้บ” เป๊กกี้เล่าถึงความรู้สึกของเธอในวัยเยาว์ “ตอนนั้นอายุยังน้อย ประมาณ 17-18 ปี เราไม่สามารถบริหารสิ่งที่มีอยู่ได้ ต้องสละทุกอย่างจนไม่เหลืออะไรเลย มาอาศัยอยู่ที่บ้านเพื่อนเอา”
“บ้านเขาก็ไม่ได้มีเงินอะไร คุณพ่อคุณแม่ไปแสดงตามวิกลิเก เราก็อยู่กับเพื่อน ข้าวปลาก็แบ่งๆ กันกิน ไหนจะทรมานจากคนเคยนอนแอร์แล้วไม่ได้นอน คิดถึงแม่ก็อีก ตังค์ก็ไม่มี เหมือนไปฝึกจิตเลยตอนนั้น”
แล้วก็ราวกับฟ้ามาโปรด เมื่อคุณลุงที่ “ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน” อยู่ๆ ก็มาหาเธอในวันหนึ่งและรับไปอยู่ด้วย กลายเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตทุกวันนี้ของเธอโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้มาก่อน
“ช่วงนั้นพอดิ่งลงไปสุดก็ไม่รู้จะไปไหนแล้ว ต้องค่อยปีนขึ้น ค่อยๆ ทบทวนตัวเอง เพราะเราตกลงไปต่ำสุดในห้วงของจิตใจ เราไต่ขึ้นมาด้วยความฮึบว่าเราจะเอายังไงกับชีวิตต่อ พอได้มาบ้านคุณลุงแล้วก็เลยฮึดสู้กับชีวิต” เป็กกี้เล่าถึงกำลังใจในการเอาชีวิตรอดที่ไม่ได้มาจากไหน แต่มาจากในใจของเธอเอง
“ลุงที่ไม่เคยเจอกันเลย เขาไปรับเราที่บ้านของเพื่อนโดยที่ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไร รู้แค่นามสกุลเดียวกัน มารู้ทีหลังว่าลุงเขาทำไลท์แอนซาวนด์ เราก็เริ่มช่วยเขาจากตรงนั้น จัดเวที ตั้งไฟกลับมาบ้านมาร้องเพลง เราเลยทำงานใหญ่ๆ ได้ พวกซาวนด์เอนจิเนียร์ จัดไฟ ทำไฟ คอนโทรลไฟ เราทำมาหมด เราอยู่กับความเอ็นเตอร์เทนมาเรื่อยๆ จนวันนี้เราก็มาอยู่ตรงนี้”
“ส่วนทุกวันนี้เรื่องที่ไม่สุนทรีย์คือปวดฉี่แล้วรถติดตอนเช้าค่ะ” เธอหัวเราะด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์
เราถามถึงการเป็นคนตลกของเธอนั้นเคยถูกคาดหวังให้ตลกตลอดเวลาไหม? แต่เธอตอบกลับทันทีว่า “ไม่นะ เพราะว่าเราไม่แคร์ความคาดหวังของคนอื่น เราสนุกในส่วนของเราโดยไม่ต้องพยายาม มันเกิดจากการสนทนาที่รสชาติมันเกิดจากเรามาคุยกัน และความสนุกนี้แหละ ที่เราได้จากคุณแม่มา”
หลังจากที่สนทนากันถึงช่วงท้าย เธอเล่าพลางนึกย้อนมองถึงตัวเองในวันวานว่า “ณ ตรงนั้นคือเรื่องโหด ณ วันนี้คือเรื่องอัศจรรย์ ที่เรามาอยู่ตรงนี้ มันอาจไม่ได้เยี่ยมมากๆ แต่สำหรับเรามันเจ๋งแล้ว และเราจะไปต่อ ไปไหนไม่รู้แต่เราจะไม่หยุดที่จะทำงาน เพราะงานคือหัวใจหลักของเรา” สายตาเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้
“เราอยากจะรู้ว่าในชีวิตคนๆ หนึ่งถ้าทุ่มเทใหักับการทำงานอย่างจริงจัง คว้าทุกโอกาสอย่าง…เราจะไปถึงไหน? เราอยากรู้”