โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

2 หุ้นไอพีโอขายยา (เวชภัณฑ์) อ่านก่อน “ซื้อ” จะน่าสนใจหรือไม่

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 22.36 น. • เผยแพร่ 10 ก.ย 2564 เวลา 08.53 น. • This’s Alano

ความร้อนแรงของหุ้นไอพีโอยังมีเข้ามาไม่หยุดหย่อน แม้บางบริษัทสร้างผลตอบแทนที่ดี แต่ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่ให้ความผิดหวังโดยที่เราไม่เต็มใจจะรับมัน แต่หุ้นไอพีโอก็ยังเป็นที่หมายปองกับนักลงทุนเสมอมา ดังนั้นวันนี้ทีมข่าวได้รวบรวมหุ้นไอพีโอในกลุ่มที่น่าสนใจอย่าง “จำหน่ายยา เวชภัณฑ์” ซึ่งกำลังจะเข้าเทรดเร็วๆ นี้มาฝากนักลงทุน เพื่อเป็นแนวทาง โดยจะมีความน่าสนใจแค่ไหน เราสรุปมาให้แล้ว
เริ่มด้วย HL หรือ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) จากข้อมูลไฟลิ่ง ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2564 รายงานว่า บริษัทประกอบธุรกิจโดยการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยปัจจุบันลงทุนในธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ และธุรกิจคิดค้น พัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก เป็นต้น
โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 72,000,000 หุ้น คิดเป็น 26.47%ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ แบ่งเป็น 1.เสนอขายต่อประชาชนจำนวน 64,800,000 หุ้น คิด 23.82%2.เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย จำนวน 7,200,000 หุ้น คิดเป็น 2.65%ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (par) 0.50 บาทต่อหุ้น

วัตถุประสงค์ของการใช้เงิน

ทั้งนี้บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้ เงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน โดย มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2561 เพื่อประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนในบริษัทย่อย ประกอบด้วย1.บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด (ไอแคร์ เฮลท์) เป็นบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 100.00%โดยไอแคร์ เฮลท์ ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ รวมกว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย
ประเภทสินค้า ประกอบด้วย ยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม (Professional Healthcare)อุปกรณ์การแพทย์ และของใช้ในบ้าน (Home Healthcare)สินค้าสุขภาพสำหรับภายนอกร่างกาย (Personal Healthcare)สินค้าบริโภค (Deli Healthcare)โดยสินค้าเหล่านี้จะจำหน่ายผ่านร้านขายยาทั้งหมด 4 แบรนด์ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 24 สาขา ดังนี้ iCare10 สาขา Pharmax10 สาขาvitaminclub3 สาขา และSuper Drug1 สาขา
2.บริษัท เฮลทิเนส จำกัด (Healthiness Company Limited) (“เฮลทิเนส”) เป็นบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 100.00%โดย เฮลทิเนส ประกอบธุรกิจหลักคือ คิดค้น พัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2แบรนด์ คือ 1. PRIME เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ PRIME จำนวนทั้งหมด 24 SKU
และ2. Besuto เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก ซึ่งปัจจุบัน เฮลทิเนส จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Besuto ทั้งหมด 9 SKUโดยผลิตภัณฑ์ของเฮลทิเนส ปัจจุบันส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัท

สำรวจผลประกอบการย้อนหลัง

ในปี 2561 มีรายได้รวมจำนวน 791.21 ล้านบาท ถัดมาในปี 2562 มีรายได้รวม 915.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.71%จากปี 2561และในปี 2563 มีรายได้รวม 1,080.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.98%จากปี 2562 ส่วนงวด 3 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวมจำนวน 258.72 ล้านบาท ลดลง 16.20%เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยงวด 3 เดือนแรกปี 64 มีรายได้จากการขายปลีกลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 16%เนื่องจากในไตรมาส 1/2563 ประชาชนมีความตื่นตระหนกในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงเข้าซื้อยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทหน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือประเภทต่างๆ เพื่อเตรียมสำรองไว้ใช้ ส่งผลให้รายได้จากการขายปลีกของงวด 3 เดือนแรกของปี 2563 สูงกว่าปกติ
ส่วนกำไรสุทธิในปี 2561 เท่ากับ 0.39 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2562 เติบโตมาอยู่ที่ 21.77 ล้านบาท และปี 2563 เติบโตมาอยู่ที่ 52.08 ล้านบาท ขณะที่งวด 3 เดือนแรกปี 64มีกำไรสุทธิเท่ากับ 14.39 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.56%โดยอัตรากำไรสุทธิลดลงจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่ระดับ 7.41%

JP ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ

ถัดมา JP หรือ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จากข้อมูลไฟลิ่ง ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2564 รายงานว่า บริษัทพัฒนาผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาสินค้า การคิดค้นและพัฒนาสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและแนวคิดเชิงนวัตกรรม การขอทะเบียนตำรับยาหรือการจดแจ้งเลขสารบบอาหารของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) การออกแบบบรรจุภัณฑ์
ตลอดจนการผลิตภายใต้การควบคุมการผลิตที่ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยบริษัทมีการดำเนินธุรกิจหลักๆ 2 รูปแบบคือรับจ้างผลิตและจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า (OEM) และ ผลิตและจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Own Brand) โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท สามารถจำแนกได้ดังนี้ 1. ยาแผนปัจจุบัน 2. ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร 3. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 4. ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ 5. ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
โดยบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 115,000,000 หุ้น คิดเป็น 25.27%ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (Par)0.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40%ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัท หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

วัตถุประสงค์ของการใช้เงิน

  • เป็นเงินลงทุนในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ โครงการพัฒนา และแปรรูปพืชไข่น้ำเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์ และโครงการพัฒนาและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ใหม่

  • เป็นเงินลงทุนในการพัฒนา นำเสนอ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ตราสินค้าของบริษัทให้กับผู้บริโภค

  • เป็นเงินลงทุนในการปรับปรุงและขยายโรงงานทั้งในส่วนของโรงงานกรุงเทพฯ และโรงงานลำพูน

  • ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน

  • เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและการดำเนินการอื่นใดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท

สำรวจผลประกอบการย้อนหลัง

บริษัทมีรายได้รวมในปี 2561เท่ากับ 352.29 ล้านบาท ปี 2562 เท่ากับ 365.53 ล้านบาท ปี 2563เท่ากับ 462.74 ล้านบาท ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่งวดไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้เท่ากับ 95.75ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 126.24 ล้านบาท
โดยงวดไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีรายได้จากการขายลดลง 23.34%เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในปี 2563เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ลดลงจำนวน 38.29 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากอุปทานผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในตลาดมีเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในขณะที่ความต้องการในตลาดลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีระยะเวลานาน ผู้บริโภคไม่ได้กักตุนแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากเหมือนตอนเริ่มแพร่ระบาด
สำหรับกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีย้อนหลังมีอัตราการเติบโตในเกณฑ์ที่ดี โดยในปี 2561 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.39 ล้านบาท ถัดมาปี 2562 มีกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ 23.57 ล้านบาท และปี 2563มีกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ 31.08 ล้านบาท อย่างไรก็ตามงวดไตรมาสแรกปีนี้มีกำไรสุทธิเท่ากับ 7.48 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 10.48 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิปี 2561 เท่ากับ 3.52%ปี 2562 เท่ากับ 6.44%ปี 2563เท่ากับ 6.71%และงวดไตรมาสแรกปีนี้เท่ากับ 7.81%

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0