โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

“สุรีย์ รัตนหิรัญญา” ดื่มด่ำกับชีวิตวัยเกษียณที่น่าอิจฉา

Manager Online

อัพเดต 17 ธ.ค. 2561 เวลา 03.12 น. • เผยแพร่ 17 ธ.ค. 2561 เวลา 03.12 น. • MGR Online

ในโอกาสครบรอบ 14 ปีของนิตยสาร Celeb Online ทาง Celeb Online จึงภูมิใจนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ 10 เซเลบริตีตัวแม่ของแวดวงสังคม ซึ่งจะมาถ่ายทอดเรื่องราวทั้งในปัจจุบัน และย้อนวันวานวัยใสเมื่อครั้งอายุ 14 ปี ให้ได้ติดตามกันทุกวันจันทร์

“สุรีย์ รัตนหิรัญญา” ดื่มด่ำกับชีวิตวัยเกษียณที่น่าอิจฉา

เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ชีวิตน่าอิจฉา ชวนให้ตาร้อนผ่าวมากที่สุดคนหนึ่ง สำหรับ “สุรีย์ รัตนหิรัญญา” สาวสังคมคนดังที่นาทีนี้เธอปลดระวางจากหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งปวง และมีมิชชันในการใช้ชีวิตวัย 62 ปีจากนี้ให้มีความสุขในทุกวัน“เมื่อก่อนเราทำงาน ตอนนี้ช่วยลูกทำ (ยิ้ม) ช่วงที่ลูกชายเรียนจบกลับมา เราก็ยังไม่ได้วางมือจากธุรกิจเหล็ก (บริษัท ไทยสตีล อิมปอร์ต) ให้เขาทำเต็มตัว ช่วงแรกให้ลูกชายทั้งคนโตและคนเล็กไปฝึกงานหาประสบการณ์ก่อน 3 ปี ค่อยกลับมาช่วยครอบครัว เพราะอยากให้เขาได้เรียนรู้ว่า ถ้าจะเป็นลูกจ้างต้องปฏิบัติตัวแบบไหน พอมาเป็นเจ้าของกิจการจะได้รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร” สุรีย์เล่าถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุรีย์ยังบอกด้วยว่า เธอไม่สปอยลูก แต่อยากให้ช่วยเหลือตัวเองเป็น “ตอนไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ เราให้เขาไปอยู่กับญาติ ซึ่งแม้เขาจะดูแลงานบ้าน จัดการเรื่องอาหารให้ แต่อย่างน้อยจากอยู่บ้านเป็นคุณหนู จะกินน้ำมีคนเทให้ ไปโรงเรียนมีคนไปรับไปส่ง พอไปเรียนต่อต่างประเทศ ต้องขึ้นรถเมล์ไปเรียน กินข้าวบ้านเขา ถึงไม่ต้องช่วยล้างจานก็จ้องช่วยจัดโต๊ะเก็บโต๊ะ จากเคยมีคนดูแลเยอะต้องดูแลตัวเองมากขึ้น”

ขณะที่ สุรีย์ถ่ายทอดชีวิตวัยสาวผ่านการวิธีการเลี้ยงลูก เธอก็สะท้อนการใช้ชีวิตของตัวเองในเวลานั้นว่า หน้าที่หลักเวลานั้นคือ ช่วยสามีบริหารธุรกิจ โดยโฟกัสด้านการตลาดเป็นหลัก จนปัจจุบันนี้ก็ยังเข้ามาช่วยดูแลงานบางส่วน โดยเฉพาะ ด้านบัญชี ซึ่งไม่ชอบเลย แต่เพราะช่วงนี้พอมีเวลาว่างมากกว่าแต่ก่อน เลยเข้ามาช่วยดู“อย่างที่บอก ทุกวันนี้เราปล่อยให้ลูกทำธุรกิจเต็มตัว เราแค่เป็นทีมเสริม สมมติเวลาเข้าประชุม เราก็ช่วยออกความเห็น ไม่ได้ถึงขั้นทิ้งไปเลย ยังถามไถ่ว่าตอนนี้สั่งสินค้ามาเป็นอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ลูกค้าเป็นอย่างไร พยายามเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงฝีมือ เพราะถ้าไม่ให้ลองทำ เรียนรู้จากความผิดพลาด บางครั้งคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงก็อาจจะท้อ ไม่อยากทำ พอเราเห็นว่าเขาเรียนรู้มาพอควร ก็ปล่อยให้เขาดูแลทั้งหมด โดยลูกชายคนโตดูด้านการเงิน บัญชี คนเล็กดูด้านการตลาด หาลูกค้า หาช่องทางธุรกิจใหม่ ตามสไตล์เขาที่เป็นแนวลุยๆ ใจกล้ามาตั้งแต่เด็ก แค่ ป.5 ก็ขอไปเรียนที่สิงคโปร์” สุรียเล่าอย่างอารมณ์ดีก่อนเผยว่า“ตอนนี้เราก็สบายขึ้น มีเวลาว่างก็ไปออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน ไปกินข้าวกับเพื่อน เรามีเพื่อนหลายกลุ่ม เดี๋ยวไปกินข้าวกับกลุ่มนี้ ไปงานเลี้ยงกับกลุ่มนั้น จริงๆ ในบ้านก็มียิม แต่สุดท้ายก็ต้องไปเล่นข้างนอก (หัวเราะ) ทำไม่ได้ ไม่มีคนบังคับ ไปยิมมีเทรนเนอร์บังคับ เราพยายามดูแลตัวเอง เหมือนสโลแกนที่หลายคนติดปากว่า ผู้หญิงอย่าหยุดสวย จริงๆ ถามว่าทำไมเราอย่าหยุดสวย เราไม่ได้ต้องการให้คนอื่นดู แต่เราดูแลเพื่อให้เมื่อดูตัวเองในกระจกแล้วเรามีความสุข แทนที่จะเอาแต่อยู่ติดบ้าน ไม่แต่งตัว ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้โทรม ถ้าออกไปข้างนอกจะได้แต่งตัว ได้อัปเดตแฟชั่น ความเป็นไปในสังคม นอกจากไปยิม ดูแลสุขภาพทำให้เวลาทำอะไรก็ไม่เหนื่อยง่าย นอกจากนี้ ยังดูแลเรื่องอาหารควบคู่ไปด้วย เลือกรับประทานมากขึ้น สูตรง่ายๆ คือ มื้อเช้าจะกินเยอะหน่อย อาจจะมีแป้งได้ มื้อกลางวันจะกินน้อยลง ส่วนมื้อเย็นจะเลือกพวกสลัด ปลา เว้นของมัน ของทอด ส่วนของหวานโชคดีเราไม่ได้ชอบมาก ก็ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่”

ถามว่ามีเทคนิคบริหารชีวิตอย่างไรให้ลงตัว ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัว สุรีย์ตอบแบบไม่มีกั๊ก โดยเฉพาะ การบริหารชีวิตคู่ให้ยืนยาว โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกครอบครัวปรารถนา “การให้เกียรติซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญ คนเรามาจากรากฐานไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ต่างฝ่ายต่างต้องรู้จักปรับตัวกันคนละครึ่งทาง ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป เชื่อไหมว่า ตั้งแต่สามีเริ่มตีกอล์ฟ ซึ่งน่าจะประมาณ 30 ปีที่แล้ว เราไม่เคยโทร.ถามเลยว่าไปตีสนามไหน เพราะต้องการให้เขามีเวลาส่วนตัว เพราะเราเองก็ต้องการมีเวลาส่วนตัวเช่นกัน สมัยก่อนเวลาวันหยุด วันครอบครัว จะใช้เวลาด้วยกัน พาลูกไปกินข้าวนอกบ้าน แต่พอวันนี้ลูกโต มีครอบครัวเราก็ต้องปล่อยเขาไป อาจจะมีในแต่ละเดือน นัดกินข้าวกัน 2 ครั้ง และก็มีทริปใหญ่ของครอบครัวปีละครั้ง ไปทุกช่วงวันหยุดสงกรานต์ เป็นทริปบังคับเฉพาะลูกชาย ส่วนลูกสะใภ้ไม่บังคับ” งานนี้ขึ้นชื่อว่า ทริปครอบครัว (ใหญ่) ไม่ต้องสงสัยหรือสืบให้เหนื่อยเลยว่า ใครเป็นคนเลือกจุดหมายปลายทาง “ส่วนใหญ่เป็นทริปยุโรป โปรแกรมตามใจแม่ เน้นเที่ยวแนวธรรมชาติ ชมทะเลสาบ เดินเล่นย่านเมืองเก่า สูดอากาศบริสุทธิ์ในชนบท ฯลฯ ถ้าจะมีโปรแกรมชอปปิ้ง เน้นเป็นวันสุดท้าย อาจจะไปแวะที่มิลาน หรือปารีส” นอกจากทริปครอบครัวใหญ่แต่ละปี ก็จะมีทริปเล็กๆ ในเอเชียที่ควงคู่ไปกับสามีสองคน ส่วนใหญ่จะไปญี่ปุ่น หรือไม่ก็ไปฮ่องกง สิงคโปร์“สามีเป็นคนใจดี เขารู้ว่าเราเป็นคนที่ไปเที่ยวแล้วขี้กลัว ชอบหลงทางเดินไปไหนไม่จำทาง ไม่กล้านอนคนเดียว เขาก็จะไปเป็นเพื่อน เขาอาจจะไม่ใช่คนโรแมนติก บางทีไปชอปปิ้ง เขาก็จะมาส่งแล้วนัดเจอ ส่วนตัวเองไปนั่งร้านกาแฟ หรือถ้าไปซื้อของบอกช่วยเลือก เขาจะออกตัวเลยว่าเลือกไม่เป็น เวลาเทศกาลสำคัญเขาไม่เคยมีดอกไม้ ถ้าวันเกิดก็จะส่งไลน์มาอวยพร เย็นไปกินข้าวกับพร้อมหน้า ซึ่งถ้าถามว่าความโรแมนติกสำหรับเราจำเป็นไหม ไม่เลย แค่มีเขาอยู่เป็นเพื่อน พี่น้อง ดูแลกันก็พอแล้ว” สุรีย์โชว์หวาน

งานนี้เลยถือโอกาสชวนไปย้อนวันวานถึงสมัยยังเป็นวัยรุ่นว่า เด็กหญิงสุรีย์ในวัย 14 เป็นอย่างไร? “เป็นช่วงที่มีความสุข เพื่อนเยอะมาก ทุกวันต้องทำอาหารคนละอย่างไปแชร์กันที่โรงเรียน แถมยังต้องแวะซื้อชาดำเย็น น้ำส้มคั้น โอเลี้ยง ชีวิตวัยเรียนสนุกตามประสา ถึงพ่อแม่จะเข้มงวดไม่ให้ออกไปไหน เลิกเรียนหรือไปเที่ยววันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องถึงบ้านก่อน 6 โมงเย็น แต่ก็ต้องยอมรับว่า สังคมตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แต่ก่อนรถไม่เยอะแบบนี้ เชื่อไหมว่าตอนนี้เราขับรถไม่ได้แล้ว ไม่กล้าขับ เพราะรถเยอะ ถนนก็เปลี่ยน อีกสิ่งที่แปลกคือ สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราก็อยู่ได้ ไปไหนมาไหนได้ ใช้โทรศัพท์บ้าน แต่เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือสำคัญมาก เป็นปัจจัยที่ 5 ถ้าลืมต้องวนกลับมาเอา เพราะสมัยนี้โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องทำได้ทุกอย่าง สะดวกสบายขึ้น อยากกินอาหารแค่โทร.สั่งก็มาส่งถึงหน้าบ้าน” แต่ถ้าถามถึงความแตกต่างของงานสังคมยุคก่อนกับยุคนี้ สุรีย์ในฐานะอดีตสาวสังคมตัวแม่ เธอมองว่าแตกต่างอยู่บ้าง เพราะงานสังคมสมัยก่อนไม่ได้จัดถี่เท่ายุคนี้ อาจเพราะแบรนด์สินค้าไม่ได้มีเยอะเท่าทุกวันนี้ ขณะที่คนที่ออกงานส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ แต่สมัยนี้เป็นวัยรุ่นเยอะขึ้น งานสังคมสมัยก่อนไม่เชิญดารา จะมีแต่นางแบบมาร่วมเดินแบบ แต่ยุคนี้ดาราต้องทั้งเดินแบบ ร้องเพลง ถ่ายรูปกับแขกที่มาร่วมงาน “โลกเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน ไลฟ์สไตล์เราเองก็เปลี่ยน เริ่มออกงานน้อยลง เพราะอยากมีชีวิตสบายๆ ไม่ต้องมีโจทย์ในการแต่งตัวตามธีม ไปเฉพาะงานที่อยากไป การไปงานไม่ใช่ไม่ดีนะ เพราะไปก็ได้พบปะรู้จักผู้คน อัปเดตแฟชั่นความรู้ต่างๆ ทำให้เราทันสมัยขึ้น แต่อย่างที่บอกวัยเปลี่ยนทำให้มุมมองเราเปลี่ยนไป สมัยก่อนถ้าออกงานเราจัดเต็มกันมาก หน้า ผม ราตรียาว เครื่องเพชร แต่คนยุคนี้สบายขึ้น แต่งตัวง่ายๆ ทุกวันนี้มาดูภาพเก่าๆ ตัวเองก็ยังขำ ดูเยอะไปนิดหนึ่ง จะออกงานใส่เครื่องประดับทุกอย่าง เดี๋ยวนี้จึงลดลง ถ้าเป็นงานกลางวัน สร้อยคอและแหวนเลิกใส่เลย หรือถ้าจะใส่อาจเลือกเป็นสร้อยมุกเพราะดูโก้ เข้าได้กับทุกลุค ส่วนเสื้อผ้าสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องเลือกเป็นชุด แต่เน้นมิกซ์แอนด์แมตช์” คุณสุรีย์ทิ้งท้ายถึงเทคนิคแต่งตัวออกงานในวัยเกษียณอย่างอารมณ์ดี และไม่หวงถ้าจะหยิบยืมเทคนิคไปใช้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0