โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“สมคิด”ดันตลาดหุ้นสู่ดิจิทัลในปีหน้า หวังเบียดสิงคโปร์ชิงศูนย์กลางตลาดทุนอาเซียน

Money2Know

เผยแพร่ 15 พ.ย. 2561 เวลา 06.36 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
“สมคิด”ดันตลาดหุ้นสู่ดิจิทัลในปีหน้า หวังเบียดสิงคโปร์ชิงศูนย์กลางตลาดทุนอาเซียน
รองนายกฯ สมคิด ตั้งเป้าดันตลาดหลักทรัพย์เป็น Market Capital Center เบียดสิงคโปร์ ใช้กลยุทธ์ดึงนักลงทุนต่างชาติจดทะเบียนในตลาด ดันตลาดทุนเป็นดิจิทัลในปีหน้า เพื่อให้คนรุ่นใหม่เล่นหุ้นมากขึ้น 

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงาน “SET in the city2018” ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน กล่าวว่าในช่วงนี้ตลาดทุนโลกมีความผันผวน เปรียบได้กับมีลมพายุแรง ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณทางเศรษฐกิจ ล่าสุดตัวเลขจีดีพีของประเทศญี่ปุ่นติดลบ 1.2% จากที่เป็นบวกในไตรมาสก่อน

การเติบโตของเยอรมนี ติดลบ 0.5% สะท้อนว่าเริ่มมีผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้า ความผันผวนของตลาดเงิน ตลาดทุน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเกิดใหม่

แต่เมื่อหันกลับมาดูตัวเลขดัชนีของประเทศไทย พบว่า ตลาดทุนไทย ยังเข้มแข็งมากมีกำไรสุทธิเฉลี่ยมากกว่า 10% และมีผลตอบแทนค่อยข้างสูง มีสภาพคล่องสูง มีการเรสฟันจ์สูงกว่าสิงคโปร์ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในอาเซียน และเป็นรองแค่ตลาดประเทศญี่ปุ่นเมื่อเทียบในระดับ Asia

นายสมคิด เชื่อมั่นว่าโอกาสของตลาดทุนไทยแฝงตัวอยู่ในความผันผวนเหล่านี้ โดยต้องมองให้ทะลุ และควรจับโอกาสนี้ไว้ให้ได้

พร้อมเสนอแนวทางที่จะทำให้ตลาดทุนไทยเติบโต สู่การเป็นศูนย์กลางตลาดทุน 3 ประการหลัก ได้แก่

ประการแรก คือการต้อนรับบริษัทจากต่างประเทศ ให้สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่าย ซึ่งเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ต้องจัดการกระบวนการต่าง ๆ ให้เข้าถึงผู้ลงทุน 

ทำให้เกิดการ joint venture จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เพราะธุรกิจ ที่มาจากต่างประเทศล้วนเป็นธุรกิจใหม่ มีพื้นฐานของอินเตอร์เน็ต AI ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการสร้าง New S-Cruve ให้กับตลาดทุนไทย 

โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะต้องปฏิบัติงานเชิงรุก เข้าหากลุ่มผู้ลงทุนเหล่านี้ ด้วยดูรายชื่อกลุ่มบริษัทที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยของบีโอไอ เพื่อโน้มน้าวให้เข้ามาจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่รอให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนเท่านั้น

“ที่สำคัญคือต้องมองให้ไกล ไม่กลัวความผันผวนวันต่อวันที่ไม่มีประโยชน์”

ประการที่สอง ตลาดหลักทรัพย์จะต้องเน้นให้มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของไทยมากขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอนาคต 

ที่ผ่านมาพบว่ามีเพียงไม่กี่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำให้จีดีพีเติบโตได้ อาทิ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และกลุ่มอาหาร ซึ่งหากอาศัยเพียงอุตสาหกรรม กลุ่มเดิมเพียงลำพัง จีดีพีจะไม่สามารถเติบโตไปถึง 10% ได้ 

หน้าที่สำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือต้องเพิ่ม value ให้กับอุตสาหกรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งนำอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เข้ามาให้เกิดความหลากหลาย ควบคู่ไปกับการ reform economy ไม่ให้สะสุด 

นอกจากนี้ ยังสามารถยกระดับตลาดหลักทรัพย์ สู่การเป็น Hub Capital Market ของอาเซียน เนื่องจากมองว่าศักยภาพของตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่ง มีการเติบโตมากกว่า 10% และมีขนาดใกล้เคียงกับสิงคโปร์

นายสมคิด เชื่อว่า ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลาง capital market ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า หากมีความมุ่งมั่นและตั้งเป้าหมาย ยกระดับเป็นศูนย์กลางของ CLMV โดยจะต้องมีการร่วมมือกัน ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง ไทยจะเป็นแหล่งระดมทุนของอาเซียน ที่สามารถช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านได้

พร้อมกันนี้ ประเทศไทยจะต้องมีการเชื่อมโยงกับตลาดที่กว้างขึ้น เช่น เดินหน้าเจรจากับ 3 มณฑลใหญ่ อย่างมาเก๊า เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง ที่มีขนาดใหญ่และไม่ใช่คู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันอย่างสิงคโปร์เพื่อสร้างการเชื่อมโยงและยกระดับตลาดหุ้นไทยให้กว้างขวางมากขึ้น

ประการที่สาม ตลาดหุ้นไทยจะต้องเป็น Digilization ให้ได้ภายในปีหน้า ทั้งในเรื่องการแสดงตัวตน การเทรดผ่านดิจิตอล นอกจากนี้ยังควรมีการบังคับให้ขยายฐานคนเล่นหุ้นในไทยเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดทุนไทย เนื่องจากปัจจุบันมีคนไทยที่เล่นหุ้นอยู่เพียง 3 ล้านคนเท่านั้น

ภารกิจของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในส่วนนี้คือ ต้องหาวิธีการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในตลาดทุน เช่น การแจกโบนัสในองค์กรเป็นเงินสด 50% เป็นหุ้น 50% และมีการเสนอขายหุ้นให้ในราคาถูก เป็นต้น 

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกล้าคิดและฝันให้ใหญ่ คิดไปถึงการเป็น SET in the region ให้คนรุ่นใหม่ที่มีสมองได้ลงมือทำ ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีความสามัคคีกันทำงานเชื่อมโยงกับ ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง จะทำให้การเป็นตลาดศูนย์กลางเกิดง่ายขึ้น” นายสมคิด กล่าว

พิจารณาปรับเกณฑ์ LTF ใหม่ 

นอกจากนี้นายสมคิดยังกล่าวถึงกองทุน LTF ว่า ไม่อยากให้มีการยกเลิก LTF เพราะเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่ทำให้คนไทยเข้าสู่ตลาดลงทุน และเป็นตัวรักษาความเข้มแข็งของตลาดทุนไทยไว้

ทั้งนี้ มีการพูดคุยกับกระทรวงการคลังถึงการประยุกต์หรือดัดแปลงกองทุน LFT เดิม ให้มีความทันสมัย ไม่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นกองทุนที่ช่วยให้หนุ่มสาวสามารถสร้างตัว และช่วยให้กลุ่มผู้สูงอายุสามารถออมเงินเพื่อการเกษียณได้ ซึ่งยังมีเวลาในการพิจารณา เนื่องจากกองทุนจะหมดอายุลงในปลายปี 2562

นายสมคิด กล่าวว่าต้องรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่ง

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0