วันที่ 1 เม.ย. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บริษัท “ฟูจิฟิล์ม โทยามะ เคมิคัล” (Fujifilm Toyama Chemical) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ “ฟูจิฟิล์ม” ได้เริ่มการทดลองทางคลินิก เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของยา“อาวิแกน” (Avigan) ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หลังจากมีรายงานจากทางการจีนว่ายาดังกล่าวให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ
ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติจีน แถลงเมื่อวันที่ 19 มึ.ค. ที่ผ่านมาว่า ยาตัวนี้มีความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วย โดยผู้ป่วยผลตรวจเป็นลบหลังได้รับยาดังกล่าวเฉลี่ย 4 วัน นับจากที่มีผลตรวจเชื้อเป็นบวก เทียบกับค่าเฉลี่ย 11 วัน ของผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาดังกล่าว
โฆษกของฟูจิฟิล์ม โทยามะ เคมิคัล เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการทดสอบยากับผู้ป่วย 100 คน จนกระทั่งสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากนั้นจะมีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล และยื่นขออนุมัติในภายหลัง
ผู้ป่วยโควิด-19 อายุระหว่าง 20 ถึง 74 ปี ที่มีอาการปอดบวมเล็กน้อย จะได้รับยาตัวนี้ติดต่อกันสูงสุด 14 วัน ยกเว้นกลุ่มสตรีมีครรภ์ หลังผลการทดสอบกับสัตว์พบว่าก่อให้เกิดผลข้างเคียง
การทดสอบในเฟส 3 ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า รัฐบาลจะเริ่มกระบวนการที่จำเป็นในการอนุมัติยาอาวิแกน เพื่อใช้ในการรักษาโควิด-19
ก่อนหน้านี้ ทางการจีนได้ทำการทดลองทางคลีนิก ยา “ฟาวิพิราเวียร์” (favipiravir) ที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า "อาวิแกน" การทดสอบ 2 ครั้งในจีนพบว่าช่วยทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ฟูจิฟิล์มกล่าวว่า บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองดังกล่าว
แพทย์ในญี่ปุ่นได้ใช้ยาตัวนี้ในการศึกษาทางคลีนิคกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสที่มีอาการเบาไปจนถึงระดับกลาง โดยหวังว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนได้ โดยฟูจิฟิล์มระบุในแถลงการณ์ว่า คาดว่ายาอาวิแกนจะให้ผลในการต่อต้านเชื้อไวรัสในผู้ป่วยโควิด-19 ได้
ทั้งนี้ นักวิจัยและบริษัททั่วโลกกำลังเร่งค้นคว้าหาวิธีการรักษาโควิด-19 โดยเน้นไปที่ยาที่มีจำหน่ายในตลาดแล้ว เช่น ยารักษาโรคมาลาเรีย และยาต้านเชื้อเอชไอวี
ผลการศึกษาเบื้องต้นในจีนและฝรั่งเศสพบว่า ยา "ไฮดร็อกซี่คลอโรควิน" (Hydroxychloroquine) และ "คลอโรควิน" (Chloroquine) ที่ใช้ในการรักษามาลาเรีย มีศักยภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้ใช้ความระมัดระวัง จนกว่าผลการทดสอบอย่างเป็นทางการจะชี้ให้เห็นว่ามันมีประสิทธิภาพในการรักษาจริง