โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

“ผมเชื่อว่ายังมีทหารแบบคุณพ่อ” พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา ลูกชายผู้นำคณะราษฎร

The101.world

อัพเดต 24 มิ.ย. 2562 เวลา 02.21 น. • เผยแพร่ 23 มิ.ย. 2562 เวลา 18.48 น. • The 101 World
“ผมเชื่อว่ายังมีทหารแบบคุณพ่อ” พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา ลูกชายผู้นำคณะราษฎร 

ธิติ มีแต้ม เรื่อง

เมธิชัย เตียวนะ ภาพ

พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา หรือ ‘ลุงแมว’ เกิดหลังจากสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ได้ 7 ปี และอีกเพียง 8 ปีต่อมาเขาก็สูญเสียพ่อ – พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร และนายกรัฐมนตรี 5 สมัย แปลว่าเจ้าตัวเกิดไม่ทันการอภิวัฒน์ 2475 และวันที่พระยาพหลพลฯ จากไป เขายังเป็นเด็กชายอายุ 8 ขวบเท่านั้น

แต่จากเด็กชาย เขาค่อยๆ เติบโตและเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหตุบ้านการเมือง ทั้งทางตรงคือเป็นทหารไปรบที่เวียดนาม กระทั่งเข้าป่าไปรบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ส่วนทางอ้อมคือผ่านคำบอกเล่าของแม่

101 ชวนลุงแมวในวัย 80 ปี สนทนาถึงเรื่องส่วนตัวและบ้านเมืองในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในฐานะผู้ผ่านเหตุการณ์สำคัญทั้งสงครามและการเมืองมาแทบทุกยุคสมัย จนถึงวาระสำคัญอย่าง 87 ปี 24 มิถุนายน 2475

ระหว่างที่รอเวลานัดหมายสัมภาษณ์ คำถามก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เป็นต้นว่า “ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง เขามองการกระทำอันยิ่งใหญ่ของคณะราษฎรอย่างไร”, “ในยามสงครามจบสิ้น เขามองตัวเองในฐานะทหารผ่านศึกอย่างไร”, “ในวันที่ประชาธิปไตยส่องแสงริบหรี่ เวลาได้ยินคำว่าคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม เขารู้สึกอย่างไร”, และ “ในวันที่ทหารเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เขาคิดว่าคนแบบพระยาพหลฯ ยังมีอยู่หรือไม่” ฯลฯ

ถึงเวลานัดหมายพอดี บ้านของลุงแมวเป็นทาวน์เฮาส์โทรมๆ สองชั้น ไม่มีคราบของทหารเศรษฐีใดๆ ปรากฏ เจ้าตัวยืนรอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่หน้าบ้าน และเชิญชวนเข้าไปฟังเรื่องราวตั้งแต่บรรทัดถัดไป

 

คุณมองสังคมไทยในวันเวลาที่ตัวเองเข้าสู่บั้นปลายชีวิตอย่างไร ตอนนี้มองเห็นอะไรบ้าง

บ้านเมืองเราไม่ไปไหนเลย เมื่อปี 2508 ผมยังเป็นทหารยศนายสิบเอก ได้อ่านเรื่องประเทศเยอรมัน ตอนนั้นยังแยกเป็นเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก เราทราบว่าเยอรมันตะวันตกเขาไม่ปล่อยให้คนว่างงาน รัฐบาลจะต้องจัดให้คนมีงานทำ แต่ของเรา จนป่านนี้คนจบมหาวิทยาลัยมากมายที่ยังหางานไม่ได้

ผมมาคิดๆ ดู ตั้งแต่ปี 2500 จนถึงปัจจุบัน ประเทศเราไม่สร้างคนให้มีคุณภาพเลย พวกทหารพอมันรัฐประหาร ก็คิดแต่เอางบประมาณไปลงที่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม แต่กระทรวงศึกษาฯ ที่จำเป็นต้องสร้างคนให้มีคุณค่า ให้มีสติปัญญา รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขที่มีหน้าที่ดูแลสุขภาพคนไทย ทำให้คนไทยมีสุขอนามัยสมบูรณ์ พวกเผด็จการมันไม่สนใจ

ตอนปี 2554 ช่วงที่น้ำท่วมใหญ่ ผมย้ายไปอยู่สัตหีบ เวลาไม่สบายก็ไปเข้าโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในสัตหีบ แต่ดันไม่มีประวัติการป่วยอยู่ในระบบออนไลน์ ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้คนใช้โทรศัพท์มือถือกันทุกคน ทำไมประเทศไทยยังออนไลน์ประวัติการป่วยไม่ได้ เรามีโซเชียลมีเดียใช้กัน แต่ไปโรงพยาบาลที่ไหนต้องไปเริ่มต้นรักษาใหม่ ทั้งที่ควรรักษาต่อได้เลย ไม่ใช่ไปนั่งซักถามกันใหม่ แล้วผมเป็นข้าราชการบำนาญ ค่ายาเบิกได้ แต่เมื่อก่อนตอนรับยาต้องจ่ายไปก่อน แล้วค่อยเอาบิลไปเบิก

ชีวิตผมไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร เมียผมนี่ยอดหญิงประเสริฐ อายุห่างกัน 20 ปี ตอนนี้เขาเลี้ยงหลานอยู่ที่ระยอง ผมให้เดือนละสองพัน ความจริงเขาน่าจะไปหาผัวใหม่ได้ตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ไม่ไป เพราะผมออกจากข้าราชการมาตั้งแต่ปี 2529 ตอนนั้นเงินเดือนแค่หกพันกว่าบาท ยศพันตรี เงินบำนาญปรับมาปัจจุบันได้เก้าพัน แต่ค่ายาครั้งนึงก็หมดไปร่วมหมื่นแล้ว แล้วมันจะไปพออะไร ถ้าไม่มีนโยบาย 30 บาท ผมตายไปนานแล้ว

อายุ 80 แล้วต้องใช้ชีวิตที่เหลือในบ้านเมืองที่ยังไม่ไปไหน รู้สึกยังไง

ผมรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ได้ให้คุณค่ากับคนของตัวเอง ตอนปี 2511 ผมไปรบที่เวียดนาม เป็นพลขับประจำรถหุ้มเกราะเอพีซี ขับลาดตระเวนอยู่ จู่ๆ ไปเหยียบทุ่นระเบิด ตีนตะขาบขาด พวกอเมริกันบอกให้ผมทิ้งรถไปเลย ไม่ต้องเสียดาย ผมคิดในใจ รถทั้งคัน อุปกรณ์ประจำรถยังดีอยู่ ทำไมต้องทิ้ง มันบอกทิ้งไปให้หมด แค่เศษเหล็ก จนมันมาอธิบายทีหลังว่าพวกยุทโธปกรณ์มันซ่อมได้ สร้างใหม่ได้ แต่คนสร้างใหม่ไม่ได้ มันหวงคน

แล้วผมมาคิดต่อทีหลังว่าที่เขาจ้างพวกเราไปรบในเวียดนาม เพราะเขาคงคิดว่าให้เราไปตายแทนดีกว่าให้คนของเขามาตายเอง แต่รบไปรบมา ก็พบว่าคนเวียดนามที่เรารบกับเขานั้น เขาต่อสู้เพื่อแผ่นดินของเขา แต่เราไม่เกี่ยวอะไรเลย เรารับจ้างฝรั่งไปรบกับเขาแค่นั้นเอง แล้วผมจะเป็นคนดีได้ไง ผมเองก็มีเชื้อสายของเขาอยู่ด้วย เวลาใครถามผมว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ผมบอกเกิดมาเป็นคนไทย แต่เลือดนี้ไม่มีไทยเลย เพราะสายคุณปู่ (กิ่ม พหลโยธิน) ท่านเป็นฮกเกี้ยน ศาลเจ้าแม่ทัมทิบที่อยู่ใกล้กับการไฟฟ้านครหลวง คุณปู่เป็นคนสร้าง ส่วนคุณย่าเป็นลูกพระยาเจ่งแม่ทัพเรือฝ่ายมอญ ด้านคุณยายก็เป็นเหลนของ ซา ล็อง กษัตริย์ญวนจากเมืองเว้ แล้วผมมีเลือดไทยตรงไหน ไม่มีเลย

เรื่องบ้านเมืองก็ส่วนหนึ่ง แต่ทีนี้ชีวิตผมเนี่ย มักคิดถึงคำพูดของพลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัณ สมัยนั้นท่านเป็นผู้การ ผมเป็นแค่นายสิบ ตอนมีปัญหาผมก็ไปรายงานท่านว่า “ผู้การครับ ผมมีปัญหา” ท่านก็บอกว่า “งั้นมึงก็ไปตายซะสิ มีปัญหา แล้วจะอยู่ไปทำไม ไปตายซะ มึงรู้ไหม ที่มึงเกิดมาเนี่ย เพื่อมาสู้ชีวิต”

ผมก็มาคิดของผมทีหลังว่าคนเราเกิดมาไม่ใช่เพื่อมีความสุข ท่านพุทธทาสก็เคยบอกว่าความสุขในโลกที่แท้จริงไม่มี มีแต่ทุกข์มากหรือทุกข์น้อย ดังนั้นเราเกิดมาก็เพื่อสู้กับทุกอุปสรรค ใช้ความรู้ ความสามารถ สติปัญญาฟันฝ่าไป สิ่งไหนที่ยากก็ใช้เวลานาน เหนื่อยหน่อย สิ่งไหนง่ายก็ใช้เวลาแป๊บเดียว แล้วไม่ใช่ว่าจะจบ ปัญหาใหม่ก็มีมาเสมอ มึงนอนในโลงเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจบ

นอกจากคำพูดของ พล..ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ถูกใจแล้ว คุณภาคภูมิใจกับการที่เคยรับราชการทหารไหม

ผมออกจากราชการปี 2529 ได้เป็นผู้บังคับรถถังขนาดใหญ่ สูงสุดในชีวิต ผมออกเพราะผมถูกย้ายไปเป็นอาจารย์ ทำไปไม่นานก็ไม่ชอบ เพราะใจมันอยากอยู่ในสนามรบมากกว่ามาสอนหนังสือ แต่ก็ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมได้พยายามสร้างรุ่นเด็กๆ ขึ้นมาแทน

ผมบอกพวกนักเรียนว่า “พวกแกต้องเก่ง พอเติบโตไป แกก็ต้องไปสอนคนต่อๆ ไป” ผมสอนร้อยคน ไอ้ร้อยคนก็จะไปสอนเป็นพันคน เพราะฉะนั้นกองทัพบกจะมีคนที่มีประสิทธิภาพเยอะแยะ ไม่ใช่เกิดมาเสียเปล่า

ผมเริ่มต้นขับรถถังครั้งแรกเนี่ย ยังเป็นแค่สิบตรีพุทธินาถ อายุ 18 ไปฝึกที่เขาพุโลน ศูนย์การปืนใหญ่ที่ลพบุรี สมัยก่อนยังเป็นป่า ผมขับรถถังไปติดหล่มกลางดึก แล้วก็แอบไปนอนเต้นท์ ไม่ได้นอนในรถแล้ว แถมยังตื่นสายอีก พอรองผู้หมวดมาปลุก เขาบอก “ไอ้พุทธินาถ กลับจากฝึกซ้อมครั้งนี้แล้วลื้อไปลาออกเถอะ คนอย่างลื้อไม่เหมาะจะเป็นทหาร ลื้อไม่ได้รักรถถังของลื้อเลย” ตอนนั้นนึกในใจทำไมกูต้องรักวะ รถถังก็คือรถถัง เป็นแค่เหล็กมีเครื่องยนต์วิ่งได้ มีปืนยิงได้

แต่ผมอายคนทั้งแถวที่เขายืนฟังอยู่ รวมทั้งพลทหารด้วย โกรธตัวเองที่ยอมให้ถูกดูถูกต่อหน้าพลทหาร หลังจากนั้นคิดว่าต้องเอาชนะคำสบประมาทนี้ให้ได้ พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้รู้ประวัติคุณพ่อ ครั้งหนึ่งตอนท่านยังเป็นนักเรียนนายร้อยอยู่ที่เยอรมัน คุณพ่อสอบวิชาประวัติศาสตร์สากลตกทุกที จนผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยบอกท่านว่า “คนอย่างเธอไม่มีทางที่จะสอบได้”

หลังจากนั้นทำให้คุณพ่อมุ่งอ่านประวัติศาสตร์สากล เพื่อนๆ หลับ แต่ตัวเองตื่นมาอ่าน พอวันสุดท้ายที่จะสอบเพื่อจบการศึกษา มันต้องเข้าไปสอบในห้องสัมภาษณ์แบบปากเปล่า คุณพ่อก็เจอผู้บัญชาการโรงเรียน ท่านถามว่าเธอจะเข้าไปสอบหรอ คุณพ่อบอกใช่ครับ เลือกสอบวิชาอะไรก่อน ประวัติศาสตร์สากลครับ แต่เธอสอบตกวิชานี้ตลอด คุณพ่อบอกผมเตรียมตัวมาดีแล้ว ผู้บัญชาการว่าฉันจะตามไปดู ปรากฏว่าพอผลออกมา คุณพ่อได้ 9 จากคะแนนเต็ม 10 ผู้บัญชาการโรงเรียนเดินมาตบไหล่ บอกว่าเธอเอาชนะคำสบประมาทของฉันได้ เธอมีความพยายามสูงมาก

ผมก็เลยมานั่งคิดกับตัวเองว่าผมมีสันดานอย่างนั้นไหม ใครด่าผม ไม่นานคนนั้นจะชมผม ผมถูกหาว่าไม่รักรถถังใช่ไหม ผมก็คิดใหม่ว่ามันเป็นเพื่อนร่วมตายเราในสนามรบ

จากรถเหล็กกลายเป็นรถมีหัวใจขึ้นมาทันที

เขามีวิญญาณ ถ้าเราต้องการให้เขาเคลื่อนที่ แล้วเขาไม่เคลื่อนที่ตามที่เราต้องการ เราตาย เขานิ่งเมื่อไหร่ เราตาย ถ้าเรารักเขา เขาจะรักเรา คือรักษาชีวิตเรากับเพื่อนที่อยู่ในรถ เพราะฉะนั้นเราก็เอาใจใส่ ทั้งขัดทั้งถู ทำความสะอาดให้เหมือนใหม่ตลอดเวลา จนมีอยู่ครั้งนึงที่ผู้หมวดจะขึ้นมาตรวจรถถัง ผมบอกหมวดถอดรองเท้าก่อนครับ จนผู้หมวดแกหาว่าผมบ้า ผมก็บ้าจริงๆ เม็ดทรายสักเม็ดก็มีไม่ได้ (หัวเราะ)

หลังจากนั้นเวลาผมไปไหน พวกพลทหาร 3-4 คนมันจะชอบเดินตาม ไอ้เราก็คิดว่ามันอยากเอาเยี่ยงอย่างในการรักรถ แต่ไม่ใช่ มันตามเพราะรอเอาบุหรี่ที่ผมสูบแล้วทิ้งไปสูบต่อ มันบอกผมชอบสูบทีละครึ่งมวน มันเสียดาย ผมสูบแค่ครึ่งมวนนี่ ไม่ได้ดัดจริตนะ ไม่ได้อวดว่าร่ำรวยอะไร แต่เพราะรสมันเปลี่ยน ก็เลยทิ้ง สมัยก่อนทิ้งบุหรี่แล้วไม่เหยียบ

ผมสูบบุหรี่วันละ 4 ซอง ยี่ห้อ Gold city เงินเดือนออกเมื่อไหร่ซื้อทีนึง 4 คอตตอน จนมามีลูกก็ตั้งใจเลิก จริงๆ คุณแม่ (บุญหลง พหลพลพยุหเสนา) ขอให้เลิกนานแล้ว แต่ผมให้ไม่ได้ จนคุณแม่เสียปี 2523 เสียหลังจากลูกผมคลอดได้เดือนเดียว ผมเลยคิดได้ว่าลูกเราเกิดมาเพราะเราสร้างให้เขาเกิด ไม่ใช่จู่ๆ เกิดมาเอง เพราะฉะนั้นค่านมค่ายาก็ควรจะเป็นของเขา ไม่ใช่เอาไปซื้อบุหรี่ วันที่เผาคุณแม่ ผมเขวี้ยงไฟแช็คทิ้ง แล้วบุหรี่ก็ถวายให้กับวิญญาณคุณแม่ไป 

พระยาพหลฯ เสียตั้งแต่คุณยังเด็ก จากนั้นก็อยู่กับคุณแม่มาตลอด ความสัมพันธ์กับคุณแม่เป็นอย่างไร

ตอนคุณแม่ยังอยู่ เงินเดือนผมไม่เคยเหลือให้คุณแม่ซักแดง มีอยู่ครั้งนึงตอนที่ไปรบอยู่เวียดนาม ผมนึกถึงคุณแม่ สมัยที่ผมจัดงานวันเกิดตัวเอง ผมชอบไปขอเงินแก แกก็บอกว่า “วันเกิดของแก แต่มาเอาเงินแม่” ตอนนั้นผมขอได้ตลอด ไม่ได้คิดถึงคำพูดของแกเลย ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวา ดันไปนึกได้ที่เวียดนามตอนพวกเพื่อนทหารจัดงานวันเกิดให้

คืนนั้นปาร์ตี้กันสนุกสนาน ดื่มกันทั้งคืน แต่มันต้องสลับกันเข้าเวรทุก 2 ชั่วโมง พอถึงคิวผม ระหว่างที่ยืนถือปืนเอ็ม 16 เฝ้ายามท่ามกลางความมืด จู่ๆ ก็คิดถึงคุณแม่ ถามตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นเทวดาเหาะได้หรือเปล่า ไม่ใช่ เพื่อนๆ เขาก็ยังเรียกเราไอ้เหี้ยเหมือนเดิม ไม่เห็นมีใครเรียกคุณพุทธินาถเลย แต่แม่รักเราแค่ไหน แล้วเราก็ทำให้แม่ช้ำใจเสียน้ำตาในอกไปเท่าไหร่ เลยมาตอบตัวเองว่าตั้งแต่นี้ไปจะไม่ขอเงินคุณแม่อีกแล้ว งานวันเกิดก็เลิกจัด แล้วผมเนี่ยคิดกับตัวเองได้ว่า ไอ้ตอนที่ไปสมัครเรียนโรงเรียนยานเกราะ เพราะโกรธคุณแม่ อยากจะหนีคุณแม่ไปให้พ้นๆ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาขอเงินแกตลอดอยู่ดี

 

 

โกรธคุณแม่เรื่องอะไร

โดนคุณแม่ตี ตอนเด็กๆ 9 ขวบ ผมไม่คิดว่าผมเกเร คิดว่าเป็นคนดีตลอด แต่ถูกคุณแม่ใช้ทำงานบ้าน พี่น้องคนอื่นเขาไปเล่นกันได้ แต่เราต้องไปนวดให้คุณแม่ ต้องไปทำงานบ้าน แล้วผมนี่ถูกพี่ๆ ว่าประจำว่าเป็นเด็กที่คุณพ่อคุณแม่เขาไปเก็บมาจากกองขยะ เรามันไอ้เด็กกองขยะ

มีครั้งนึงคุณแม่ให้ไปตักโคลนในสระน้ำ เอาไปผสมกับขี้เถ้าทำเป็นแผ่นตากให้แห้ง แต่คนอื่นเขาออกไปเล่นกัน ผมก็น้อยใจ โกรธ เลยเอาเสียมทิ่มถังตักโคลนเป็นรูพรุน พอคุณแม่กลับมาไม่เห็นเลยซักแผ่น คุณแม่ก็ถามว่าทำไมไม่เห็น ผมบอกถังมันพังครับ คุณแม่ว่า “ไหน เอามาให้ดู” พอแกเห็นรอยทิ่ม คุณแม่ยกฟาดเลย แขนจนถึงมือฉีกเป็นแผลไปถึงกระดูก แล้วคุณแม่ก็ต้องพาไปให้หมอเย็บแผล

 

จากวันนั้นเลยตั้งใจหนีคุณแม่ ?

ตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่เซนต์คาเบรียล พอจะสอบขึ้นชั้นมันต้องได้คะแนน 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ผมได้แค่ 50 เศษๆ ทำให้ต้องไปเรียนต่อที่วัดเบญจมบพิตร แต่เรียนไม่ถึงเทอม ผมไม่ชอบขี้หน้าพวกครู เลยหนีเรียนไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไปอยู่ตามซ่อง กินเหล้ากัน บางทีก็ไปแอบนอนอยู่ในกุฏิพระ เพราะมีเพื่อนเป็นลูกศิษย์วัด

พอไม่เข้าเรียนก็เริ่มหาเพลงฟัง เพราะติดใจจากการได้ยินผ่านวิทยุยานเกราะ เขาเปิดเพลงฝรั่งบ่อย จากนั้นผมก็ชอบไปยืนฟังเพลงที่ร้านแผ่นเสียง ‘ธุรวินิจ’ ใกล้กับสถานีวิทยุยานเกราะ แล้วผมมีเพื่อนคนนึงที่มีรถเวสป้า มันชอบชวนเราซ้อนท้ายเล่น ตอนนั้นเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์เห็นพาดหัวว่ายานเกราะไปตีที่นั่นที่นี่ ระหว่างที่ซ้อนท้านเวสป้าเพื่อน ได้เห็นรถถังยานเกราะของจริง ทหารบนรถถังสวมหมวกเบเร่ต์ โอ้โห มันเท่จริงโว้ย ช่วงนั้นตอนปี 2500 ก็อยากจะไปให้พ้นๆ หน้าคุณแม่พอดี เลยไปสมัครทหาร

 

ตอนไปสมัครเรียน พวกทหารรู้ไหมว่าพ่อคุณคือพระยาพหลฯ

พอสมัครเสร็จเขาก็นัดไปสอบพละ ทหารที่คุมสอบก็ถามว่าคุณชื่อพุทธินาถ พหลโยธิน ใช่ไหม พลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัณ ต้องการพบ ตอนนั้นแกเป็นผู้บังคับการโรงเรียนยานเกราะ ผมก็เดินตามขึ้นไปที่ห้อง นายพลอะไรต่อมิอะไรนั่งเต็มห้องไปหมด แล้วพลจัตวาชาติชายก็หันมา เรารู้จักเพราะเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ยกมือสวัสดีครับ แกถามว่าคุณพุทธินาถ พหลโยธิน เหรอ คุณเป็นอะไรกับเจ้าคุณพหลฯ เราบอกเป็นลูกครับ แกถามต่อ แล้วท่านผู้หญิงบุญหลงล่ะ เราบอกเป็นแม่ครับ แกก็เปลี่ยนจากเรียกคุณเฉยๆ เป็นคุณชายเลย

แกถาม คุณชายนึกยังไงถึงมาสมัคร เราบอกชอบครับ อยากเป็นทหาร แกบอกแล้วทำไมไม่เข้าโรงเรียนนายร้อย เราก็บอกว่าผมสอบไม่ได้หรอกครับ สอบที่เซนต์คาเบรียลได้คะแนนแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ จะไปสมัครโรงเรียนนายร้อยได้ไง แกว่าได้สิ ต้องได้ เดี๋ยวจัดการให้ เราก็ว่าไม่เอาครับ คือจะเอาได้ยังไง แม้ผู้การชาติชายอยากจะช่วย แต่ผมจะเรียนได้เกินสองปีไหม เดี๋ยวก็โดนไล่ออก อีกอย่างพวกนักเรียนนายร้อยเขาไม่ใส่หมวกเบเร่ต์กัน มีแต่พวกนักเรียนนายสิบที่ใส่

ผมชอบ ยืนยันว่าจะเรียนโรงเรียนยานเกราะ แกยังบอกอีกว่าอยากสวมหมวกเบเร่ต์เหรอ เดี๋ยวหาให้ อยากแต่งเครื่องแบบเหรอ เดี๋ยวให้แต่งเป็นสิบเอกเลย ผมบอกไม่ได้หรอกครับ จะเป็นทหารต้องเข้าเรียนก่อน สุดท้ายแกก็ยอม

 

โรงเรียนยานเกราะในปี 2500 ถูกใจคุณไหม

พวกทหารที่คุมสอบยังบอกกับผมว่ามันมีการลงโทษนะ คุณชายจะไปไหวหรอ ผมก็บอกไหวสิ ตอนแรกผมวาดภาพนักเรียนนายสิบว่าก็คงเหมือนภาพของนักเรียนมัธยมทั่วไป ครูจะเรียกนักเรียนว่าฉันกับเธอ พอไปเจอเข้าจริงๆ ไม่ใช่เลย มีไอ้เหี้ย ไอ้ห่า มึงอย่างงั้น มึงอย่างงี้เลย ทั้งต่อยทั้งเตะ (หัวเราะ)

แต่เรียนไปแล้วก็รู้ว่าตัดสินใจไม่ผิด เพราะเราไม่อยากให้พี่น้องมาดูถูกว่าเรามันไม่ได้เรื่อง และอีกอย่างคือผมกลัวมองหน้าแม่ไม่ได้ ก็เลยตั้งใจเรียนจนจบ คิดในใจ จะหนักแค่ไหนก็ให้มันตายตอนฝึกไปเลย กินข้าวตั้งแต่มื้อแรกยันมื้อสุดท้ายที่โรงเรียนนี่เป็นข้าวแดงมีกรวดปนนะ กินไปก็คิดถึงสมัยอยู่กับคุณพ่อที่วังปารุสก์ ผมชอบไปกินข้าวแดงกับพวกทหาร เนื้อเค็มนี่หนาเป็นนิ้ว แต่ที่โรงเรียนชิ้นนิดเดียว บางอย่างกับมีดโกนเลย แล้วไอ้แกงคั่วหอยแมลงภู่กับสัปปะรด สัปปะรดก็เละ หอยแมลงภู่ก็เหม็นเน่า เราก็ต้องฝืนกินไป (หัวเราะ)

 

พันตรีพุทธินาถในวัยนักเรียนทหาร จากสมุดภาพของเจ้าตัว

พอเรียนจบแล้วคุณแม่ยอมรับในตัวคุณไหม

แน่นอน หลังจากไปรบที่เวียดนามกลับมา ผมบอกตัวเองตลอดว่าจะเป็นลูกที่ดีของคุณแม่ วันที่กลับมาถึง ลงรถที่มณฑลทหารบกที่ 1 เดี๋ยวนี้เขาเรียกกันมณฑลทหารบกที่ 11 เห็นคุณแม่ยืนรอรับอยู่ ผมวิ่งลงจากรถไปกราบเท้าคุณแม่โดยไม่อายใคร เรามีชีวิตรอดมาเพราะแม่ และคุณแม่ทำให้ผมคิดถึงคนเวียดนาม เพราะคุณแม่ผมมีสายเลือดคนญวน ผมคิดเสมอว่าทำไมเราต้องไปฆ่าเขา เราไม่ใช่ศัตรูกัน

ก็เหมือนตอนที่รบกับคอมมิวนิสต์ในป่าปี 2515 ผมถูกส่งไปรบกับเขาด้วย ถามว่าคนพวกนี้เขาอยากจะเป็นคอมมิวนิสต์เหรอ ไม่ใช่ เขาเป็นชาวบ้านปกติ ปลูกข้าวโพดขาย ไอ้พวกพ่อค้าไปซื้อข้าวโพดก็กดราคาเขา เขาก็ไปบอกสหาย สหายก็บอกไม่ต้องขายให้พ่อค้าที่เอาเปรียบ พอชาวบ้านไม่ขายให้พ่อค้ามันก็ไปแจ้งทางการ หาว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาก็ต้องหนีเข้าป่าจริงๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องรบกันเอง

สมัยนั้นผมเป็นจ่าสิบเอก มีเพื่อนเป็นทหารเหมือนกัน มันไปเผาหมู่บ้านหนึ่งที่อำเภอนครไทย พิษณุโลก เราก็ถามว่ามึงเผาทำไม เพื่อนบอกว่ากูเกลียดมัน เราก็อ้าว เขาทำอะไรให้มึง คือเพื่อนผมเนี่ยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ถูกซุ่มโจมตีในเขตนี้ แต่มันได้ยินมาจากตำรวจว่าเขตนี้มีการซุ่มโจมตีจากคอมมิวนิสต์ แล้วทหารไทยนี่ถูกสอนมาตลอดว่าคอมมิวนิสต์ไม่ใช่คน เป็นสัตว์ เป็นแค่เชื้อโรค เพื่อนผมก็เผาหมู่บ้านวอดวายเลย ทั้งที่คอมมิวนิสต์จริงๆ ผมคิดว่ามีไม่ถึงหนึ่งกองร้อย ส่วนที่เหลือเป็นชาวบ้านที่ถูกผลักเข้าป่าไป เพราะรัฐไทยไม่เคยไปเหลียวแลเขาเลย บางหมู่บ้านชาวบ้านไม่เคยเจอหน้านายอำเภอเลย วันดีคืนดี นายอำเภอโผล่มา ชาวบ้านต้องล้มวัวล้มควายเลี้ยงดูเขา แล้วเผลอๆ ไปเอาลูกเมียเขาอีก

อารมณ์เห็นใจชาวบ้านนี้ได้มาตอนไหน คุณพ่อส่งผ่านมาให้ตั้งแต่เด็กไหม

ไม่เลย คุณพ่อเสียตั้งแต่ผมยังแค่ 8 ขวบ ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นลูกใคร มาเป็นทหารก็ไม่ได้คิดเรื่องบ้านเมือง ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าคณะราษฎรคืออะไร เรื่องคุณพ่อนี่คุณแม่เป็นคนเล่าให้ฟังทีหลังตอนผมเป็นนายร้อยแล้ว และจนผมแก่ตัวขึ้นก็ได้อ่านเอกสารต่างๆ จึงค่อยๆ เข้าใจ

สมัยที่รบกับ พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ผมคิดเพียงว่าต้องคุมวินัยคนให้ได้ เพราะเรามีบทเรียนมาจากเวียดนาม บทเรียนที่ได้รับก็คือลูกปืน ตอนนั้นพวกอเมริกันบอกให้ยิงแหลกเลย ไม่ต้องกลัวหมด แล้วปรากฏว่าพวกที่หลับหูหลับตายิงเนี่ยมักตายก่อนเพื่อน เพราะเวียดกงเขาฟังออกว่าใครยิงเป็นไม่เป็น คนยิงไม่เป็นมันก็กลายเป็นเป้า พอมารบในไทยมันยิงทิ้งขว้างแบบที่เวียดนามไม่ได้ เราได้กระสุนคนละ 140 นัด ผมบอกน้องๆ ในชุดว่าให้ยิงได้ 139 นัดพอนะ น้องมันก็ถามจะเหลือ 1 นัดไว้ทำไมครับ เราก็บอกว่าถ้า 139 นัดยังสู้ไม่ได้ จะอยู่ไปทำไม ก็ยิงตัวตายไปสิ เพราะฉะนั้นหมวดที่ผมดูแลเนี่ย กระสุนจะไม่ค่อยเปลือง

 

ตอนที่คุณแม่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับคณะราษฎร ได้ฟังเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก

ผมสอบนายร้อยได้ปี 2516 คุณแม่เอาเอกสารมาให้อ่าน เป็นเอกสารที่รัชกาลที่ 7 เขียนจดหมายคุยกับคุณพ่อ หลังเหตุการณ์ที่คุณพ่อยึดอำนาจคืนจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญในปี 2476 คือหลังจากคุณพ่อยึดอำนาจจากพระยามโนฯ แล้ว คุณพ่อก็เรียกตัวคุณอาหลวงประดิษฐ์ฯ หรืออาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กลับมาให้รัฐสภาสอบสวนจากเรื่องที่ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ พอสอบสวนแล้วคุณอาหลวงประดิษฐ์ฯ ไม่มีความผิดอะไร แต่รัชกาลที่ 7 รู้ว่าคุณพ่อต้องการเอาตัวท่านปรีดีมาทำงานต่อ

ใจความจดหมายคือพระปกเกล้าฯ ไม่ต้องการให้คุณพ่อตั้งนายปรีดีเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของคุณพ่อ จากนั้นคุณพ่อก็ตอบไปอย่างชนิดถ้าพูดภาษาธรรมดาคือทำให้ไม่ได้ คุณพ่อบอกว่าไม่สามารถปฏิบัติตามพระราชประสงค์ได้ จากนั้นทั้งสองก็ได้เขียนจดหมายแลกเปลี่ยนกัน และต่อมารัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ

เอกสารนี้พอคุณแม่เอาให้อ่านเสร็จ คุณแม่ก็ถามผมว่าแกอ่านแล้ว แกเข้าใจไหม ผมก็บอกคุณแม่ เข้าใจครับ จากนั้นคุณแม่ก็เผาทิ้ง คุณแม่อธิบายว่าเรื่องสำคัญนี้ที่แม่ให้แกอ่านเพราะแกเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อมันอยู่ในสมอง แกเข้าใจแล้ว ต่อไปข้างหน้าแกจะได้รู้ว่าใครโกหกหรือพูดความจริง เพราะเมืองไทยชอบโกหกกันอยู่ตลอด ผมเองก็เสียดาย เพราะคุณแม่อุตส่าห์เก็บเอกสารไว้ตั้งกว่าสิบปี เพื่อให้ผมเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้

 

พอได้รู้ว่าคุณพ่อเคยทำอะไรไว้ คุณรู้สึกอย่างไร

ผมได้ยินมาเสมอว่าฝ่ายจารีตมักชอบบอกว่าราษฏรไทยยังไม่มีความรู้เรื่องการปกครอง สมัยเด็กๆ ผมก็ไม่เข้าใจ ต้องรอแก่ตัวถึงเข้าใจว่าก็พวกคุณไม่ให้ความรู้ราษฎร แล้วเขาจะไปมีความรู้อะไร เหมือนการศึกษาเดี๋ยวนี้ที่พวกเผด็จการทำกัน นักศึกษามันถึงโง่ วิเคราะห์ไม่เป็น คนไทยถูกทำให้คิดไม่เป็นและต้องอยู่ไปวันๆ

คุณอาหลวงประดิษฐ์ฯ เคยบอกว่า ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ ต้องตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นมาเพื่อให้ความรู้กับราษฏร เป็นลักษณะตลาดวิชา มันจึงเกิดเป็นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

 

ส่วนตัวคุณมองว่าคุณพ่อเป็นคนอย่างไร

เป็นพ่อที่น่าเคารพนับถือ ถึงเวลาท่านจะดุก็ดุ ถึงเวลาจะลงโทษก็ลงโทษ แล้วผมเนี่ยโดนหนักตลอด พ่อตีน่องแตกเพราะเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ นี่แหละ ก่อนคุณพ่อไปทำงาน ก็จะสอนหนังสือ สอนไปลูบหัวไป ตกเย็นมาเราลืม แล้วที่วังปารุสก์มีไม้พู่ระหงเยอะ คุณพ่อก็ไปเด็ดกิ่งมาหวดน่อง ไอ้เราก็ร้องไห้จ้า คุณพ่อบอกอย่าร้อง แล้วเอาทิงเจอร์ราด ผมมาคิดได้ว่าถ้าคุณพ่อตีเปาะแปะๆ เราคงไม่จำ แต่มือคุณพ่อหนัก มันเลยแสบไปถึงกระดองใจ

 

คุณพ่อเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่หลายปี เป็นผู้นำคณะราษฏร ทำไมมีบันทึกว่าตอนเสียชีวิตไม่มีเงินทำศพ ทั้งที่นายพลหลายคนยึดอำนาจแล้วร่ำรวยกันทั้งนั้น

ผมอยากจะบอกว่าไอ้เงินเดือนข้าราชการสมัยนั้น มันแค่พอกินพอใช้ คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อมีเงินเดือนสี่ร้อยกว่าบาท แล้วตอนคุณพ่อเสีย รัฐบาลเขาก็ไม่ดูแล คุณแม่เขาก็ต้องขายบ้านขายที่ที่บางซื่อที่คุณพ่อใช้เงินเดือนสร้างไว้ เพื่อเอามาเลี้ยงลูกๆ ทั้งหมด 7 คน

 

นอกจากที่คุณบอกว่า ฝ่ายเจ้ามักชอบบอกว่าราษฏรไทยยังไม่มีความรู้เรื่องการปกครอง อีกคำคือคณะราษฎร 'ชิงสุกก่อนห่าม' คุณคิดอย่างไร

ไม่ต้องคิดหรอก สุกหรือห่ามเนี่ยแปลว่ามันเป็นผลไม้แน่ๆ แต่มันจะมีผลไม้ได้มันต้องมีต้น อยู่ดีๆ ผลไม้มันจะออกมาโดยไม่มีต้นไม่ได้ ประเด็นคือต้นมันยังไม่มีเลย แล้วมันจะสุกจะห่ามได้ยังไง

ในเมื่อไม่เอาต้นไม้ที่ชื่อประชาธิปไตยมาปลูกตั้งแต่แรก ไม่ได้ตั้งใจปลูกในแผ่นดินนี้ แล้วมาบอกว่าคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม คือเอาแต่พูด มีปากก็พูดไป คิดว่ามีอำนาจแล้วต้องมีเหตุผล จริงๆ ไม่ได้มีเหตุผล

ต้นไม้ไม่เคยมี แล้วจะมาว่าชิงสุกก่อนห่ามได้ยังไง คณะราษฏรเขาไปเรียนต่างประเทศ ไปเห็นไอ้ต้นไม้ประชาธิปไตยว่ามันมีประโยชน์แน่ๆ กับแผ่นดินไทย กับราษฏรไทย เขาถึงกล้าเอาหัวพาดเขียงที่จะเอาต้นไม้ต้นนี้มาปลูกในแผ่นดินนี้ และมอบให้ประชาชนเป็นเจ้าของ โดยตั้งชื่อว่าประชาธิปไตย ก็คือประชาชนบวกอธิปไตย คืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคำพูดว่าชิงสุกก่อนห่ามเนี่ยเป็นพวกผีเจาะปากให้พูด

 

ปัจจุบันหมุดคณะราษฏรที่คุณพ่อไปยืนอ่านแถลงการณ์เมื่อปี 2475 ทุกวันนี้หายไปแล้ว คุณรู้สึกอย่างไร

หมุดคณะราษฎรนี้คุณพ่อตั้งชื่อว่าหมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ เป็นหมุดที่ระบุตำแหน่งที่คุณพ่อยืนอ่านประกาศการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน เมื่อคุณอาหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ก็มาปรึกษาคุณพ่อว่าควรมีที่ระลึกว่าคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน เพราะคุณอาหลวงประดิษฐ์ฯ หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนเองก็ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น ท่านไปพายเรือแจกใบปลิวอยู่ เพราะฉะนั้นตรงหมุดคณะราษฎรในตอนนั้น มีคณะราษฎรอยู่ไม่กี่คน

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเนี่ย ถ้าเกิดทำไม่สำเร็จ คุณพ่อจะเป็นคนแรกที่คอขาด และคอขาดถึงเจ็ดชั่วโคตรเลย ในทางโบราณคือตัวเองและลูกเมีย พ่อแม่ปู่ย่าตายายขึ้นไปสามชั้น แล้วลงมาสามชั้นเป็นพวกหลานเหลน เรียกว่าขุดรากถอนโคนไม่ให้เหลือพันธุ์เลย แต่พอดีพวกคุณพ่อทำสำเร็จ ผมก็เลยได้เกิด

คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ท่านเคยมาสัมภาษณ์คุณพ่อว่าทำไมถึงกล้าเอาคอไปพาดเขียง เพราะถ้าไม่สำเร็จไม่มีโอกาสรอด ตายสถานเดียว คุณพ่อบอกว่าเพราะจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำ แล้วคุณพ่อต้องทำใจอยู่สามเดือน คุณพ่อเป็นคนชอบเข้าป่า ป่าที่เมืองกาญจน์ เป็นที่ๆ คุณพ่อชอบไปมากที่สุด มันมีถ้ำที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเขาหับหมี ถ้ำหนึ่งต้องขึ้นไปข้างบน อีกถ้ำหนึ่งต้องลงไปข้างล่าง เป็นที่สงบมาก คุณพ่อชอบลงไปนั่งสมาธิเพื่อจะคิดอะไรต่อมิอะไร คิดในถ้ำไม่พอ ที่บ้านที่บางซื่อเป็นสวนกล้วย คุณพ่อชอบไปนั่งในสวนกล้วย ตั้งคำถามและตอบคำถามกับตัวเองว่ามันตายนะถ้าเกิดทำไม่สำเร็จ กล้าทำเหรอ คุณแม่บอกทีแรกก็กลัว กว่าจะทำใจให้สงบได้ ตั้งคำถามกับตัวเอง และตอบตัวเองอยู่สามเดือนถึงตัดใจได้ว่ายังไงก็ต้องทำ

คุณพ่อบอกคุณแม่ว่าถ้าทำไม่สำเร็จ เธออยู่เลี้ยงลูกไป ตอนนั้นพี่สาวคนโตอายุยังไม่ถึงเดือน คุณพ่อถึงได้คิดมาก คุณแม่ก็เพิ่งมีลูกคนแรก แล้วคุณพ่อต้องไปทำงานเอาความตายเข้าแลก ผมมาดูนายพลยุคหลังๆ มีไหมที่กล้าเอาความตายเข้าแลก สุดท้ายก็เขียนกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง เป็นพวกรักชาติโดยการเห่าหอน ไม่ได้รักชาติแบบทหารที่ผมเคยรู้จักมา

ผมคิดว่าคณะราษฎรเป็นคณะเดียวที่ผมกล้าพูดว่า พวกเขากล้าเอาหัวพาดเขียง นอกนั้นไม่ใช่ นอกนั้นเป็นแค่การเปลี่ยนฝูงสัตว์สูบเลือดเนื้อประเทศชาติ ความจริงใจไม่มี และผมคิดว่าไอ้หมุดคณะราษฎรมันคงเป็นหอกทิ่มแทงหัวใจใครเขา ถึงต้องมาเอาออกไป 

ถ้าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ได้เห็นสังคมบ้านเมืองมีทหารรุ่นน้องๆ เป็นแบบทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร

ฆ่าตัวตาย (ตอบทันที) เพราะอยู่ไปก็ละอายใจ ถ้าคนที่วิเคราะห์เป็นก็จะรู้ว่าพระยาพหลฯ รักชาติอย่างไร อย่างกรณีคอคอดกระ คุณพ่อไปเห็นคลองสุเอซ คลองปานามา ท่านคิดว่ามันช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศได้ ท่านส่งคนไปสำรวจในพื้นที่คอคอดกระ แต่พวกอังกฤษมันรู้ ทูตอังกฤษก็มาพูดกับคุณพ่อว่าหากเมืองไทยขุดคลองนี้เมื่อไหร่ แผ่นดินทางใต้ที่เป็นชาวมลายูก็จะเป็นของอังกฤษทันที ตอนนั้นอังกฤษยิ่งใหญ่มาก ประเทศไทยเล็กนิดเดียว คุณพ่อคิดได้ว่าต้องหยุดขุดคอคอดกระ

ที่บอกว่าคุณพ่อคงฆ่าตัวตายเพราะคุณพ่อถือคติ “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” คุณพ่อนับถือเสือสามตัว เสือตัวใหญ่สุดคือพ่อของคุณพ่อ ก็คือคุณปู่ พลเอกพระยาพหลฯ กิ่ม พหลโยธิน เป็นชายชาติเสือคนแรก เป็นแม่ทัพหน้าของเจ้าเมืองไวยวรานาถที่ไปตีเมืองแถคืนจากพวกกบฏ เมืองแถนเดี๋ยวนี้คือเดียนเบียนฟูของเวียดนาม

เสือตัวที่สองคือแม่ของคุณพ่อ หรือย่าของผม ‘คุณหญิงจับ’ ท่านเป็นลูกแม่ทัพเรือฝ่ายมอญ ชื่อพระยาเจ่ง และเสือตัวเล็ก ก็คือคุณพ่อ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นชาติเสือก็ต้องไว้ลาย เหมือนเสือที่มีลายพาดกลอน

 

 

ทุกวันนี้คุณคิดว่ายังมีทหารแบบพระยาพหลฯ อยู่ไหม

ผมเชื่อว่ายังมีทหารแบบคุณพ่อนะ ป่าไม้มันจะเป็นป่าได้ มันต้องมีต้นไม้หลากหลายพันธุ์ ถ้ามีพันธุ์เดียวหรือ 3-4 พันธุ์ มันไม่ใช่ป่าแน่ๆ เช่นเดียวกับทหาร ทหารจำนวนมากในเวลานี้ถูกทำให้ไม่มีคุณค่า ซี่งไอ้ตัวผู้นำทหารต้องรับผิดชอบ

อย่างไม่นานมานี้ มีทหารที่มาคุยกับผม เขาเป็นนักเรียนนายสิบเหมือนผม เขาถามผมว่าพี่เรียนปีไหน ผมบอกปี 2500 เขาบอกพวกผมยังไม่เกิดเลย เขาบอกเป็นทหารยานเกราะเหมือนกัน แล้วเขาก็ถามว่าไอ้สายพานรถถังเนี่ยใครเป็นคนเปลี่ยน ผมก็ตอบว่ามันก็ต้องเป็นทหารช่างประจำรถสิ เขาบอกพี่รู้ไหม สมัยนี้เขาให้ทหารสรรพาวุธเป็นคนดูแลแล้ว ผมก็มาคิดว่าแบบนี้ยุบกองทัพบกไปดีกว่า เพราะทหารที่รับผิดชอบยุทโธปกรณ์ดันไม่สามารถดูแลรถได้ เมื่อไม่สามารถดูแลได้ก็อย่าเป็นเลยทหาร เวลามึงไปในสนามรบ แล้วรถเกิดปัญหา มึงต้องรอให้ช่างมาซ่อมเหรอ แล้วเครื่องมือในรถมึงใช้ไม่เป็นหรือไง

เรื่องนี้ตั้งแต่ผู้บังคับรถไปถึงผู้บัญชาการทหารบก ควรจะถูกปลดหมด เพราะทหารไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง กับเรื่องอื่นนี่เก่งหนัก ไอ้หน้าที่ของตัวเองเนี่ยไม่ทำ แต่รังแกชาวบ้านดันถนัด

 

ปัจจุบันคุณเห็นคุณรุ่นใหม่ที่สืบทอดจิตวิญญาณคณะราษฎรบ้างไหม

เห็นสิ ทีแรกก็เคยท้อเหมือนกัน เพราะว่าเด็กรุ่นหลังเขาถูกกระทำมาก ถูกสอนให้ไม่ต้องรู้คุณค่าของบ้านเมือง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นเพราะโซเชียลมีเดียที่ทำให้ปิดบังเขาไม่ได้ ทำให้เขาเริ่มวิเคราะห์เป็นกัน ผมเชื่อว่าคนแบบนี้จะมีมากขึ้น ไม่ว่าอำนาจอะไร ไม่ว่าเล่ห์กลมนต์คาถาใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ เพราะสัจธรรมคือไม่มีอะไรจีรัง ทุกอย่างต้องเป็นไป

ต้นไม้ประชาธิปไตยที่คณะราษฎรนำมาปลูกในประเทศไทยนี้ แล้วมอบให้ประชาชนเป็นเจ้าของ ตั้งชื่อว่าประชาธิปไตย มันก็ต้องเติบโตไป แม้ว่ามันถูกลิดกิ่ง แต่ไม่มีอะไรมาหยุดการเจริญเติบโตของมันได้ และเมื่อถึงวันนั้น ความสิ้นสุดของสิ่งเก่าๆ มันก็ต้องมาถึง ต้องเป็นไปตามสภาพ.

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0