โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

“บิณฑ์”โอดถูกโซเชียลมโนโจมตี แถมสาวร้องไม่ได้เงิน 5,000 บาท และถูกหักหัวคิว

Manager Online

เผยแพร่ 22 ก.ย 2562 เวลา 14.39 น. • MGR Online

อุบลราชธานี-เริ่มอลเวงเงินบริจาคช่วยชาวบ้านน้ำท่วม สาวใหญ่ร้องผู้นำชุมชนไม่รับรองสิทธิ เหตุย้ายออกจากบ้านน้ำท่วมกว่า 10 ปี แต่เจ้าตัวขอใช้สิทธิตามทะเบียนบ้าน ด้าน“บิณฑ์” ถูกโซเชียลมโนโจมตีหนัก ซ้ำมีผู้นำชุมชนหักหัวคิวเงินช่วยเหลือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเที่ยงวันนี้(22 ก.ย.) ที่จุดอพยพชุมชนวัดกุดคูณ อำเภอเมืองอุบลราชธานี นายบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ นายเอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ พร้อมด้วยดารานักแสดงตลก กล้วยเชิญยิ้ม ยาวลูกหยี่ เดินทางมามอบเงินบริจาคของคนไทยทั้งประเทศให้ชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมรวม 5 ชุมชน 318 ครัวเรือน ก่อนจะเดินทางไปอีก 2 จุดในช่วงบ่ายวันเดียวกัน

โดยจุดดังกล่าว มีจิตอาสา ประชาชน ทหารนำอาหารสดมาปรุงเลี้ยงผู้อพยพด้วย เมื่อนายบิณฑ์มาถึงได้มีการพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน พร้อมกล่าวถึงความอึดอัดใจที่ถูกกล่าวหาว่าเปิดบัญชีมาทำการฟอกเงิน เป็นไปไม่ได้ที่เพียงข้ามคืนจะมีเงินเข้ามาหลายร้อยล้านบาท และอีกหลากหลายข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง ทั้งหมดสามารถที่จะตรวจสอบกับทางธนาคารได้มีสลิปการโอนเป็นแสนๆใบ

“ขณะนี้ ความดีใจของผมก็ตามมาด้วยความทุกข์ แต่ความทุกข์ของผมก็หายไปด้วยความสำเร็จที่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้มีความสุขได้ด้วยเงินของพี่น้องประชาชนที่บริจาคมา”นายบิณฑ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างทีมงานกำลังแจกเงินให้กับชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย นางประภัสสร ผลรักษ์ อายุ 44 ปี ชาวบ้านชุมชนแสนตอ มาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ตามข่าวว่า บิดาของตนคือ นายกวาง เหงี่ยน อายุ 61 ปี มีบ้านพักอยู่ในชุมชนแสนตอเช่นเดียวกันกับคนอื่น แต่ได้ย้ายออกไปมีภรรยาใหม่ในอำเภอวารินชำราบ ซึ่งก็ถูกน้ำท่วมเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ขอใช้สิทธิดังกล่าวในเขตอำเภอวารินชำราบ

โดยกลับมาขอใช้สิทธิรับเงินจำนวน 5,000 บาท ตามทะเบียนบ้านที่ชุมชนแสนตอวันนี้ แต่ผู้นำชุมชนไม่ยอมรับรองให้ โดยอ้างว่าไม่ได้อยู่ในชุมชนมานานแล้ว จึงอยากจะมาสอบถามคุณบิณฑ์และทีมงานให้ชัดเจนว่า ตนมีสิทธิที่จะได้รับเงินหรือไม่

ประเด็นนี้ นางสาวเดือนเต็ม ดวงศรี ผู้นำชุมชนกุดแสนตอชี้แจงว่า หลังจากที่ได้รับการติดต่อจากทีมงานของคุณบิณฑ์แล้ว ได้มีการประชุมรับทราบกฎกติกาการเข้ารับเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 5,000 บาท และนายกวาง เหงี่ยน อดีตเคยพักอาศัยในชุมชนจริง แต่ได้ย้ายออกไปจากชุมชนหลายปีแล้ว บ้านถูกปล่อยเป็นบ้านร้าง ไม่มีคนพักอาศัยแม้จะถูกน้ำท่วมก็ตาม กรรมการชุมชนจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ให้ครอบครัวของนายกวางได้รับเงินช่วยเหลือจากนายบิณฑ์ เพราะเกรงจะเกิดความ ไม่เป็นธรรมกับครอบครัวอื่นที่ยังพักอาศัยในชุมชนตามปกติ

ซึ่งกรณีนี้ หน่วยงานราชการที่จะเข้ามาฟื้นฟูหลังน้ำลดจะเข้าตรวจสอบร่วมกับผู้นำชุมชนอีกครั้ง ควรได้รับสิทธิช่วยเหลืออื่นๆอีกหรือไม่

นอกจากนี้ นายเอกพันธ์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวกรณี มีเพจชื่อดังในจังหวัดอุบลราชธานี แชร์ข้อความไม่โปร่งใสของผู้นำชุมชนในบางพื้นที่ มีการหักหัวคิวจากชาวบ้านที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากนายบิณฑ์ครอบครัวละ 300-500 บาท เพื่อแลกกับการได้รับเงินบริจาค 5,000 บาท โดยเป็นเรื่องจริง และเป็นการสมยอมระหว่างผู้ประสบภัยกับผู้นำชุมชนเองที่เกรงว่าจะไม่ได้รับเงิน

ถือเป็นพฤติกรรมที่แย่มากที่ไปหักหัวคิว ถามว่าเงิน 5,000 บาท มากไหมก็ไม่ถือว่ามาก แต่ยังไปหักเงินชาวบ้านอีก ตอนนี้ทราบตัวผู้ที่ดำเนินการแล้ว และทางราชการจะเข้าดำเนินการกับผู้นำชุมชนที่ทำเช่นนั้น โดยทีมงานไม่มีสิทธิที่จะไปจัดการอะไรได้

แต่จะมีการเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดในการแจกเงินช่วยเหลือ โดยการประสานไปยังนายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ให้ตรวจสอบก่อนจะแจกเงินให้กับผู้ประสบภัย เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของคนที่เห็นแก่ได้

พร้อมกันนี้ฝากถึงผู้ที่คิดทำ มนุษย์มี รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าสามารถตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และขอให้ผู้นำชุมชนมีจิตสำนึกที่ดี นึกถึงชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน อย่าถือโอกาสไปเบียดเบียนเขาเลย

ขณะเดียวกันนางอุมาพร จำปา พนักงานขายนมเปรี้ยวบริษัทแห่งหนึ่ง ได้พาลูกสาวฝาแฝดวัย 9 ขวบ คือ น้องพลอย และน้องแพร มาขอพบนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากน้องทั้งสองมีปัญหาเรื่องสายตา และแว่นตาใช้มานานหลายปี เกิดชำรุดพังเสียหาย ต้องใช้กาวติดไว้ ทำให้เกิดอุปสรรคในการเรียน ซึ่งแว่นสายตาของน้องทั้ง 2 คน มีราคาแพงกว่าปกติ แต่ตนมีรายได้จากการขายนมเปรี้ยว ส่วนสามีได้ทิ้งลูกไปตั้งแต่ยังเล็กๆ

โดยที่ผ่านมาช่วงวันหยุดเรียน น้องพลอย และน้องแพร ได้มาช่วยแม่ขายนมเปรี้ยว โดยได้ค่าแรงจากการขายนมโหลละ 10 บาท เพื่อหาเงินตัดแว่นสายใหม่ แต่ก็ยังรวบได้ไม่ครบสักที จึงหวังมาขอให้พี่บิณฑ์ช่วยเหลือ แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

เมื่อนายบิณฑ์ทราบเรื่อง ได้รับปากจะออกเงินค่าตัดแว่นให้กับคู่แฝดทั้งสองคนเอง ก่อนมอบเงินสดให้น้องพลอย และน้องแพร ไว้ใช้จ่ายคนละ 2,000 บาท ระหว่างนั้นน้องพลอย ได้ถามพี่บิณฑ์ว่า มีแบงค์ 100 บาท มั้ยคะ เพราะแบงค์ 1,000 บาทมันเยอะเกินไป และดีใจที่ได้เงินเยอะ แต่มันเยอะเกินไปสำหรับตน

ต่อมานายศรายุทธ พัฒนาสันติชัย อายุ 52 ปี เจ้าของร้านอุบลการแว่น ร้านตัดแว่นเก่าแก่ของเมือง ตั้งอยู่ถนนเขื่อนธานี ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี ทราบเรื่องจากเพื่อนมีน้องผู้หญิง 2 คน เข้าไปพบนายบิณฑ์ช่วยเหลือตัดแว่นสายตาให้ ตนจึงยินดีรับช่วยเหลือแทน เพื่อให้นายบิณฑ์ไปทำเรื่องช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อ โดยไม่ต้องมาพะวงกับน้องทั้งสองคน

ซึ่งจากการตรวจวัดสายตาเด็กทั้ง 2 พบว่า น้องพลอยสายตา 2 ข้าง ไม่เท่ากัน ตาขวาลบ 400 เอียงลบ 200 ตาซ้ายลบ 550 เอียงลบ 300 ส่วนน้องแพรน้องสาว ขวาและซ้าย ลบ 650 เอียง ลบ 300 ซึ่งสั้นและเป็นปัญหาต่อการใช้สายตามมาก และเลนส์ของน้องทั้งสองคนไม่มีอยู่สต็อก รวมทั้งหากใช้เลนส์แบบเก่าที่มีความหนาก็จะหนักมาก

ตนจึงสั่งเลนส์แบบมัลติโค๊ตที่บางและเบา เพื่อสะดวกในการใช้งาน ราคาเลนศ์รวมกรอบ 2 แว่น ก็ 8,000 บาท ทำให้น้องทั้งสองคนได้ใช้ เพื่อเป็นการทำบุญร่วมกับพี่บิณฑ์ด้วย เจ้าของร้านอุบลการแว่นกล่าวในที่สุด

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0