โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

“ทอย ปฐมพงศ์” ไม่ได้อยู่วงการบันเทิงแบบเล่น ๆ 3 ปี ละคร 14 เรื่อง

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 18 มิ.ย. 2561 เวลา 12.00 น.

“ทอยปฐมพงศ์ไม่ได้อยู่วงการบันเทิงแบบเล่นๆ3 ปีละคร14 เรื่อง

“…ถ้าเป็นตอนเด็กๆ แค่พูดหน้าชั้นเรียนผมก็ไม่เอาแล้ว…”

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าประโยคข้างต้นนี้จะเป็นของ ทอยปฐมพงศ์เรือนใจดี นักแสดงคลื่นลูกใหม่ผู้ได้ผ่านบทบาทการแสดงมาแล้วทั้งสิ้น 14 เรื่อง ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีที่ผ่านมา!!! จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยว่าการเติบโตในวงการบันเทิงอย่างรวดเร็วของเขา เป็นไปได้อย่างไร ? อะไรที่เปลี่ยนแปลงเขาจากวัยรุ่นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ให้ขึ้นแท่นพระเอกเต็มตัวของช่อง GMM25 ขึ้นมาได้ ? วันนี้เราจึงขอมาจับเข่าคุยกับเขา ถึงเรื่องราวการทำให้ “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้” สำหรับเขา ให้กลายเป็น “สิ่งที่เขาสามารถจะเป็นได้” และออกจะเป็นได้ดีเสียด้วยในวันนี้ 

จากเกรียนหลังห้องสู่เกรียน(ที่) Possible

“…ผมเป็นเด็กหลังห้องมาตลอดเลยนะ ไม่เอาอะไรเลย ตอนสอบก็ต้องลากเพื่อนมาติวให้ ไม่เอาเลยพวกประกวดคนสวยคนหล่อ ทุกวันนี้เวลามีคนมาบอกว่าผมหล่อ ผมยังรู้สึกเลยว่ามันไม่ได้ขนาดนั้นมั้ยวะ (หัวเราะ) ยิ่งช่วงที่มี        #สามีแห่งชาติ ยิ่งแล้วใหญ่ ผมนี่อ่อนด้อยมากกับพี่ๆ ศิลปินคนอื่นที่เค้าเลือกมาให้เป็นสามีแห่งชาติเลยนะ แล้วพอเราเข้ามหาวิทยาลัย เค้าประกวดดาวเดือนกัน เพื่อนก็จับส่งลงสมัคร พอวันคัดผมก็ไม่มา วันที่เค้าให้แสดงผมก็เต้นอยู่แค่นิดๆ หน่อยๆ คือไม่เอาเลย แต่สุดท้ายโดนเพื่อนๆ พี่ๆ เค้าบังคับ มันก็เลยหนีไม่ได้ ไม่งั้นชีวิตในมหาวิทยาลัยอยู่ยากละ (หัวเราะ) แต่ก็ดันทะลึ่งติดอีก ก็เลยได้เป็นเดือนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 

แล้วตรงจุดนั้นก็เลยได้เป็นโอกาสให้เราไป Cast รายการเกรียน Possible ซึ่งก็โชคดีอีกที่เค้าไม่ได้ให้เราไปเล่นกล้อง หรือทำอะไรมากในตอนนั้น เค้าให้เราไป Workshop หนึ่งวันกับเด็ก 30 คน แล้วก็เลือกเราออกมากเป็นหนึ่งในทีมเกรียน Possible แปดคน นี่เลยเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่เรารู้สึกว่าเราก็ทำอะไรที่ตัวเราเองไม่คาดคิดเลยว่าจะทำได้มาก่อนออกมาได้เหมือนกันนี่หว่าเลยลองดูซิว่าถ้าเราท้าทายตัวเองอีกหน่อยไปต่อกับตรงนี้บ้างจะไปได้ถึงไหน มันอาจจะดูตลก ไร้สาระมาก แค่นี้ถึงกับจะเปลี่ยนเลยเหรอ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสำหรับเด็กอย่างผมในตอนนั้นเลยนะ คิดดูสิว่าโอกาสแบบนี้มันจะมาถึงเรากันได้ง่ายๆเหรอ จนวันนี้มันมากกว่าความรู้สึกที่อยากจะพิสูจน์ตัวเอง มันกลายเป็นเป้าหมายจริงๆ ของเราไปแล้ว ว่าเราจะเป็นนักแสดงที่ดี…”

ก้าวแรกในวงการคือการเรียนรู้จากคนรอบตัว

 “…เอาจริงๆ ก้าวแรกในวงการ ผมไม่ได้มีการ Workshop หรือฝึกอะไรเลยนะ แค่ว่าชีวิตหนึ่งเวลาเราเจอคนหนึ่งคน เราก็จะได้เรื่องราวหนึ่งเรื่องมาใช้ เหมือนที่ "พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา)" เคยบอกผมว่า พี่ฉอดไม่ใช่คนที่แก้ปัญหาเรื่องความรักเก่ง แต่พี่เขาเป็นคนที่ฟังเยอะ แล้วได้มุมมองของคนอื่นๆ มาช่วยคนอีกคนหนึ่ง ก็เหมือนกับผมที่เจอคนเยอะ วงการนี้มันเจอคนเยอะมาก พี่ช่างแต่งหน้า ช่างไฟ ช่างกล้อง พี่นักแสดงเก่งๆ คนอื่นๆ ผมรู้สึกว่าเรามีโอกาสที่จะเจอสิ่งที่เรามองแล้วเอามาใช้กับตัวเราได้มากเหมือนกับมีคลังความสามารถของแต่ละคนที่เราจะเลือกเอาไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆไว้ในตัวเราแล้วมันก็จะช่วยให้เราไปได้เร็วแล้วก็ทำสิ่งใหม่ๆเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆในวงการที่บางทีเราไม่นึกด้วยซ้ำว่าเราจะทำได้…”

EVENT สิ่งทำให้ความสามารถพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด
“…การรับงาน Event เป็นอีกอย่างที่ผมรู้สึกว่าเป็นสนามให้เราฝึกทำงานบันเทิงที่ดีเลยครับ ครั้งแรกที่ผมรับงาน Event มา ผมตื่นเต้นมาก นั่งท่องอยู่แต่กับสองคำถามที่เค้าจะถามอยู่หลังเวที ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีอะไรเลย แต่วิธีการที่ทำให้ผมแก้ความตื่นเต้นตรงนั้นมาได้ คือเราต้องรู้ทั้งหมดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นทำการบ้านไปเยอะๆ เลยครับ

แล้วงานEvent นี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมพัฒนาตัวเองได้อย่างก้าวกระโดดมากเลยนะเพราะงานแบบนี้ผิดพลาดก็ต้องไปต่อมันไม่มีการถ่ายใหม่ตัดต่อได้เหมือนในละครที่จำได้ไม่มีวันลืมเลยคือ ผมเคยไป Event งานหนึ่ง แล้วเราต้องขึ้นไปร้องเพลง แต่ทำนองที่เค้าเอามาใช้ในงานไม่เหมือนกับที่เราเคยฟัง พอเปิดเพลงปั๊ป อ้าว ! เนื้อในหัวผมหายหมดเลย ผมไม่ร้องเลย (หัวเราะ) ร้องได้แค่ท่อนฮุค เราก็ต้องหาวิธีการที่จะทำยังไงให้เราไม่ดูเป็นคนโง่ร้องเพลง ก็ต้องสังเกตอาการคนในงาน Entertain แฟนคลับ ให้เขาช่วยกันร้อง มันฝึกให้เรารู้จักเอาตัวรอดกับสถานการณ์ที่เราไม่คาดคิดได้อย่างดีเลยครับ…”

มุมมองและวิธีคิดที่เปลี่ยนไปคือปัจจัยสำคัญของการพัฒนาทักษะการแสดง

“…สิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาด้านการแสดงของผม ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า จะช่วยให้เราทำงานด้านการแสดงได้ดียิ่งขึ้นก็คือ วิธีคิด วิธีการทำความเข้าใจกับบทที่ได้รับตอนนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้นำไปใช้กับบทเรื่องต่อๆ ไปได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก ทุกวันนี้อาจจะไม่ได้พัฒนาอะไรไปเยอะมากเหมือนคนเก่งๆคนอื่นแต่ผมตอบตัวเองได้ว่าเรื่องแรกที่ผมเล่นกับเรื่องที่ผมเพิ่งเล่นในปัจจุบันวิธีการคิดมันคนละแบบ 

ตอนแรกคือ จำบทให้ได้ อารมณ์ช่างแม่ง อ่านๆ ไปให้ตัวเองจำได้ นึกออกไหมครับ ทีนี้พออ่านด้วยความจำ ทำยังไงมันก็ไม่เข้าใจบทหรอก สุดท้าย พอนักแสดงอีกคนเค้าส่งมา แล้วอ้าว ! เราพูดยังไงต่อนะ ? ลืม ! แต่พอมาตอนนี้ เราเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการใช้ความเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น ตอนแรกเค้าเดินมาบอกสวัสดีเรา เราตอบว่าสวัสดีครับ เพราะบทมันเขียนมาอย่างนั้น เราจำอย่างนั้น แต่ในทุกวันนี้ เค้าเดินมาสวัสดีเรา เราตอบเค้าไปว่า เฮ้ย ! หายไปไหนมาตั้งนาน ! โดยที่ไม่จำเป็นต้องตอบว่าสวัสดีครับตามในบทก็ได้ แต่มันได้ความหมายและการแสดงออกถึงการสวัสดีตอบ ที่มากกว่านั้น มันบอกว่าปฏิสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้เป็นอย่างไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นอย่างไร…”

สิ่งสำคัญคือต้องแยกให้ออกระหว่างโลกในละครและความเป็นจริง

“…ผมเอาคำ "พี่ตั๊ก (มยุรา เศวตศิลา)" มาใช้เลยดีกว่าว่าสิ่งที่เจอในละครเราจะไม่เอามาใช้กับชีวิตจริงซึ่งในละครมันจะมีทั้งมุมที่ดีและไม่ดีตัวละครแต่ละตัวเค้ามีชีวิตมีเหตุผลของเขาเราเป็นเพียงแค่คนที่เข้าไปถ่ายทอดตัวละครให้ออกมามีชีวิตจริงๆดังนั้นเราจะไม่พาเขากลับบ้านกับเราด้วยในขณะเดียวกันเราก็จะไม่เอาความเป็น "ทอยปฐมพงศ์" ไปใส่ในตัวละครต้องแยกให้ออกนั่นคือความเป็นนักแสดงมืออาชีพ แต่ผมก็พูดได้แหละ เอาเข้าจริงก็ยังต้องฝึกอีกเยอะ (หัวเราะ) 

แต่สิ่งที่การแสดงให้กับผมเลยก็คือ เรากล้าแสดงออกมากขึ้น สมัยก่อนผมเคย Cast งาน แล้วเค้าให้เราเล่นอะไรก็ได้กับกล้อง เรารู้สึก บ้าเปล่า ! ให้เราไปเต้น ไปกระโดดใส่กล้อง ทำไม่ได้หรอก แต่ทุกวันนี้ มันก็ทำให้เรากล้าทำอะไรมากยิ่งขึ้น ซึ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ตัดสินใจจะมาลองท้าทายตัวเองแล้วทำตรงนี้ให้ได้ พอเริ่มทำได้ มันก็ได้อะไรกลับมาเยอะมาก…”

แม้จะมีวันที่ท้อบ้างแต่ก็ต้องไม่ลืมเป้าหมาย” 

“…เรื่องท้อระหว่างทางนี่บ่อยมากเลยนะ โห (ลากเสียง) คือผมบ้านไกลมาก เวลาเค้านัดกองเช้าๆ ก็ต้องตื่นก่อน ไปให้ถึงก่อนคนอื่น มีอยู่วันหนึ่งผมตั้งนาฬิกาปลุกตีห้าพอปลุกปั๊ปผมกดปิดแต่ไม่ง่วงเลยนะนอนมองเพดานแล้วถามตัวเองว่านี่กูกำลังทำอะไรอยู่วะในช่วงอายุเท่าเราเพื่อนเราไปกินเหล้านอนดึกเล่นเกมแต่เราต้องนอนเร็วตื่นเร็วออกไปทำงาน บางทีบทมันยากมาก เราก็คิดว่าเราจะทำให้เค้าเสียรึเปล่า คือผมไม่ชอบที่จะเป็นจุดอ่อนของทีม (หัวเราะ) พูดแบบนี้ดูเหมือนตลก แต่ความจริงนี่เครียดมากเลยนะ แต่พอมานึกว่า เฮ้ย ! เรามีเป้าหมายของเราคืออะไร เรากำลังท้าทายกับตัวเองอยู่นะ ว่าเราจะทำในสิ่งที่ตัวเราเองเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ไง แล้วเราก็อยากเป็นนักแสดงที่ดีไง นี่ก็คือสิ่งที่เราต้องเสียสละ ทุ่มเทไม่ใช่เหรอ มันก็บอกอยู่แล้วว่าเราจะทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ แล้วมันจะง่ายได้อย่างไร (ยิ้ม)…”

 

การที่เราได้มานั่งพูดคุยกับทอยในวันนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า “ทอย ปฐมพงศ์” ได้เปลี่ยนแปลงจากเด็กเกรียนคนหนึ่งในรายการโทรทัศน์ที่เราได้เห็นเมื่อ 3-4 ปีก่อน มาเป็นนักแสดงหนุ่ม ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความสามารถคนหนึ่งแล้วในวันนี้ และก่อนจากกัน ทอยก็ได้กล่าวทิ้งท้าย เสมือนการย้ำว่าเขาพาตัวเองไปถึงจุดที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่คิดว่าจะมาถึงอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร และเชื่อได้เหลือเกินว่า ก้าวต่อไปของ "ทอย ปฐมพงศ์" คนนี้ มีอะไรที่น่าสนใจให้เราได้ชมอีกมากทีเดียว

“…ถ้ามองย้อนกลับไปแล้ว สิ่งที่ผมทำในวันนี้ ก่อนหน้านั้นผมเคยคิดเลยนะ ว่าผมไม่มีทางทำได้ แต่เราโตขึ้น เรามีเป้าหมายของตัวเองชัดขึ้น เราเลยรู้ว่าเราจะต้องจัดการกับตัวเองให้ได้ เพื่ออะไร  เพราะอะไร ดังนั้นเมื่อรู้แบบนี้แล้วความคิดมันก็เปลี่ยนไปสู่จุดที่ว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้าเราจะทำ…”

 

เครื่องแต่งกาย: BEAMS

สถานที่: Jardin De La Boutique

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0