โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

“ชญาภา จูตระกูล” ทายาทตัวท็อปของสยามพิวรรธน์

Manager Online

อัพเดต 21 ม.ค. 2562 เวลา 03.52 น. • เผยแพร่ 21 ม.ค. 2562 เวลา 03.52 น. • MGR Online

จากความอลังการของงานเปิดตัว ไอคอนสยาม (ICONSIAM) แลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ยังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์มาจนถึงทุกวันนี้ หนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ยักษ์นี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสาวสวยดีกรีนักเรียนนอก “ปิ๊ง-ชญาภา จูตระกูล” ลูกสาวคนเดียวของ “แป๋ม-ชฎาทิพ จูตระกูล” แม่ทัพหญิงเก่งแห่งกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์คุณหนูขาลุย แถมแอกทีฟสุดๆนอกจากบุคลิกที่ดูมั่นใจ เป็นตัวของตัวเองแล้ว ปิ๊งยังเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่แอกทีฟสุดๆ เร็วๆนี้เธอมีแผนจะลัดฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเธอทำงานอยู่ในแผนก Social Media Strategist มีหน้าที่วางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้กับกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาปีครึ่ง เธอกำลังเริ่มต้นอีกเส้นทางชีวิตด้วยการไปเรียนต่อด้าน Applied Analytics มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นสาขาที่เน้นการนำข้อมูล (Data) ที่มีอยู่มหาศาล มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจหลากหลายด้าน “ปิ๊งสนใจด้านการวางกลยุทธ์การตลาดอยู่แล้ว จึงเลือกไปเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้ ปิ๊งคิดว่าถ้าเราอยากก้าวข้ามไปอีกขั้น เราต้องซิงค์ระหว่างความเป็นอาร์ตกับวิทยาศาสตร์ให้ได้ การที่เราจะได้อินไซต์ความต้องการของลูกค้า เราต้องอาศัยการเซอร์เวย์ แล้วประมวลข้อมูลมาใช้ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็อาศัยการทำแบบสอบถาม แต่ตอนนี้คนในสังคมหันมาใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มากขึ้น เราสามารถศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น จากข้อมูลที่มีอยู่มหาศาล แค่นำมาสังเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ ปิ๊งเชื่อว่า ถ้าเราสามารถเชื่อมโยงระหว่างไอทีเข้ากับการทำดิจิทัลมาร์เกตติ้งได้ จะทำให้อานุภาพของการทำตลาดมีอำนาจมากขึ้น”

งานนี้เพื่อให้สมกับคาแรกเตอร์สาวแอกทีฟ ปิ๊งยังบอกเล่าด้วยแววตามุ่งมั่นว่า ระหว่างเรียนปิ๊งตั้งใจจำทำงานเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ” ถามว่าเป็นเพราะเติบโตมาในธุรกิจสายรีเทลหรือเปล่า ถึงทำให้สนใจเรื่องการตลาดเป็นพิเศษ สาวสวยตอบชัดว่า “ไม่ค่ะ ปิ๊งคิดเอง อย่างเรื่องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็เช่นกัน ปิ๊งเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนมาตลอดว่าอยากทำงาน เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ปิ๊งก็เริ่มทำงานที่นิวยอร์กเลย จนลืมคิดถึงเรื่องเรียนปริญญาโท จนตอนนี้อยากกลับไปเรียนเพราะอยากหาประสบการณ์เพิ่มเติม เหตุผลที่ปิ๊งเลือกมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เพราะนอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ปิ๊งยังเลือกเพราะไปเปิดดูรายชื่ออาจารย์ผู้สอนแล้วว่า ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานในบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งน่าจะทำให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานตรงจากพวกเขา” สาวสวยบอกเล่าถึงเส้นทางอนาคตที่เลือกเองอย่างออกรส พร้อมเสริมว่า หลักสูตรที่เลือกจะใช้เวลาเรียนประมาณ 2 ปี เธอตั้งใจว่า หลังจากเรียนจบเธอหวังใจไว้ว่าหากมีโอกาสจะหางานทำต่อไปที่นั่นเลย ซึ่งคุณแม่เปิดไฟเขียวให้เรียบร้อยทุกวันของการทำงาน คือกำไรของชีวิตชวนคุยถึงแผนการในอนาคตอันใกล้ไปพอหอมปากหอมคอ วกกลับมาชวนคุยถึงผลงานที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกบทบาทที่ปิ๊งสนุก และรู้สึกว่าคุ้มค่า เหมือนเป็นกำไรชีวิตปิ๊งบอกเล่าถึงไลฟ์สไตล์การทำงานของตัวเอง ที่เข้าใกล้นิยามคำว่า ผู้หญิงบ้างาน ว่า “ปิ๊งเป็นคนชอบทำงาน มีความสุขเวลาอยู่ในออฟฟิศ ได้นั่งทำงาน ได้เห็นผลงานของตัวเอง ปิ๊งรู้สึกว่านี่คือกำไรของชีวิต ในขณะที่ เพื่อนปิ๊งบางคนอาจจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือไปแฮงก์เอาต์หลังเลิกงาน ซึ่งไม่ผิดนะ แต่ปิ๊งชอบที่จะทำงานมากกว่า ชีวิตปิ๊งไม่มีคำว่า Work-life balance มีแต่ Work Work Work แต่บางครั้งก็มีบ้างนะ ที่ต้องยอมตัดใจจากงานตรงหน้าไปสังสรรค์กับเพื่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเพื่อนไม่คบค่ะ (หัวเราะ)อย่างไรก็ตาม ปิ๊งยอมรับว่า การใช้ชีวิตที่อุทิศให้งานแบบไม่มีวันหยุด เริ่มต้นตั้งแต่ก้าวพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย “มองย้อนกลับไป จริงๆ ชีวิตที่ผ่านมาแทบไม่มีช่วงนั่งเฉยๆ เลย เพราะสมัยเรียนปิ๊งก็ชอบเล่นกีฬา ครั้งสุดท้ายที่บอกตัวเองว่า จะใช้ชีวิตแบบชิลๆ คือตอนเข้ามหาวิทยาลัยที่แคลิฟอร์เนีย ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้ เที่ยวกระหน่ำ ถามว่าใช่ตัวตนของเรามั้ย ก็ไม่ใช่ แต่ตอนนั้นคิดว่าลองพยายามปรับตัว ซึ่งปิ๊งไม่ใช่คนปรับตัวยาก เพราะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ 8 ขวบ ไปอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษ พออายุ 15 ก็ย้ายมาเรียนต่อปริญญาตรี Mass Media and Communication ที่ Scripps College University แต่พอเรียนจบครบ 4 ปี ปิ๊งรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา เราจึงกลับมาหางานทำที่นิวยอร์ก ได้ทำแบรนด์ดิ้งให้กับบริษัท 2x4 ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลด้านแบรนด์ดิ้งให้แบรนด์แฟชั่น เทคโนโลยี และรีเทลระดับโลก”

พอได้มีโอกาสย้อนวันวานกลับไปถึงช่วงเวลาที่เป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง สาวสวยบอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกายชวนให้ติดตามว่า “ตอนเรียนจบปริญญาตรี ปิ๊งหว่านใบสมัครเยอะมาก เป็นร้อยที่ สุดท้ายได้ 2 ที่ หนึ่งในนั้นคือ 2x4 ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้ายาก และเป็นบริษัทที่ปิ๊งหมายตาเป็นอันดับหนึ่ง ทำงานที่นี่อยู่ปีครึ่ง ก็ลาออก เพราะที่บ้านอยากให้กลับมาเมืองไทย พอกลับมาก็เริ่มต้นทำงานที่บริษัทเอเจนซีแมคแคนอยู่ครึ่งปี เพื่อดัดนิสัยตัวเอง (หัวเราะ) คือเราไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน ใช้ชีวิตตัวคนเดียวอยู่ต่างประเทศมา 15 ปี พอต้องกลับมาอยู่บ้านแรกๆ ก็ไม่ชินนะ บางครั้งก็ยังทำตัวไม่ถูก เราจึงเลือกมาปรับตัวเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมไทย ด้วยการทำงานในเอเจนซีอินเตอร์ ที่มีทั้งคนไทยและต่างชาติ เหมือนเป็นทรานซิสชันที่ดี ทำให้เราปรับตัวง่ายขึ้น”นอกจากนี้ การทำงานนอกบ้าน ยังถือเป็นโรงเรียนชั้นดี ที่บ่มเพาะความรู้และประสบการณ์ จนวันหนึ่งเธอบอกกับตัวเองว่า พร้อมแล้วที่จะกลับมาทำงานที่สยามพิวรรธน์ ด้วยจุดหมายเดียวในใจคือ อยากเป็นส่วนหนึ่งในอภิมหาโปรเจกต์อย่าง ไอคอนสยาม“ปิ๊งอยากทำโปรเจกต์นี้ เพราะอย่างที่รู้ว่าเป็นโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้าได้ทำจะเป็นความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิต ถามว่าตอนช่วงที่กลับมาเมืองไทย คุณแม่เรียกตัวกลับมาทำงานที่บ้านบ้างไหม ไม่เลยค่ะ คุณแม่ให้อิสระ จนวันที่เราอยากกลับก็กลับมาเอง เดินเข้าไปกรอกใบสมัครงานกับเอชอาร์ ตอนแรกที่มายังไม่มีตำแหน่งว่างด้วยซ้ำ ได้แต่กรอกใบสมัครทิ้งไว้แล้วก็โทรศัพท์ตามตื๊อทุกวัน จนตอนหลังมีตำแหน่งว่างพอดี (ยิ้ม)”

อย่างไรก็ตาม กว่าจะได้เข้ามาทำงานในสยามพิวรรธน์ คอนเซ็ปต์ของไอคอนสยามก็ลงตัวหมดแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะปิ๊งถือคติของ แจ็ก หม่า ที่ว่าองค์กรขนาดใหญ่ก็เปรียบเหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ ต้องอาศัยฟันเฟืองเล็กๆ ซึ่งหมายถึงพนักงานในองค์กร เพื่อทำให้เครื่องจักรทำงานได้ ดังนั้น ต่อให้เธอเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ เธอก็มีความสุขที่ได้ร่วมขับเคลื่อน“หน้าที่หลักของปิ๊งตอนนั้นคือ ดูแลเรื่อง Influencer ซึ่งปิ๊งมีประสบการณ์ทำงานกับ Influencer มาก่อนอยู่แล้วตั้งแต่สมัยอยู่นิวยอร์ก จนมาทำงานที่ไทย เทคนิคในการทำงานกับ Influencer ของปิ๊งคือ ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร แล้ว Motivate ให้พวกเขาทำในสิ่งที่อยากทำและเราต้องการ อย่าง โปรเจกต์ไอคอนสยาม เราบรีฟชัดว่าเราต้องการ1-4 ตามนี้ แต่ขณะเดียวกัน เราก็เปิดโอกาสให้ Influencer แต่ละคนได้คิด และดีไซน์การสื่อสารของตัวเองออกมา เพื่อสร้างความหลากหลายในแมสเซจที่เราต้องการสื่อสารออกไป”

อย่างไรก็ตาม แม้จะเก็บชั่วโมงบินในการทำงานมาไม่นาน แต่ปิ๊งยอมรับว่า ได้ค้นพบข้อดีของการทำงานมากมาย สิ่งที่สนุกที่สุดคือ การได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวัน เสน่ห์อย่างหนึ่งของสยามพิวรรธน์คือ มีเรื่องให้ตื่นเต้นและแก้ปัญหาแบบรายวัน (หัวเราะ) ชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน หลากหลายรสชาติ ทำให้เราโตขึ้น ก้าวข้ามความเป็นเด็ก ได้เรียนรู้ระหว่างสิ่งที่อยากทำกับต้องทำ เรียนรู้การมองในภาพใหญ่ อย่างตอนแรกที่คิดว่าจะมาทำโปรเจกต์ไอคอนสยาม แต่สุดท้ายก็ได้รับมอบหมายให้ดูวันสยามด้วย เพราะไอคอนสยามเปรียบเหมือนลูกคนที่สี่ การจะเข้าใจลูกคนนี้ต้องเข้าใจแม่และพี่ๆ ของเขา เพราะฉะนั้น ช่วงที่ไอคอนสยามยังไม่ได้คลอด ก็ต้องเรียนรู้จากวันสยามควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจดีเอ็นเอของบริษัท แก่นของธุรกิจนี้เป็นอย่างไร แล้วค่อยสะท้อนมาสู่ไอคอนสยาม” ถามถึงความกดดันในฐานะทายาทธุรกิจ ที่เข้ามาทำงานในบริษัทครอบครัว ปิ๊งเผยอย่างอารมณ์ดีว่า ไม่มีความกดดัน เพราะเธอไม่ได้เริ่มต้นจากการเข้าไปทำงานระดับท็อป ซึ่งปิ๊งมองว่าเป็นข้อดี เพราะตำแหน่งที่สูงมักมาพร้อมความรับผิดชอบ ถ้าขึ้นไปอยู่ตำแหน่งสูงแต่แรก เธอจะไม่มีวันได้เห็นภาพรวมของการทำงานที่รอบด้าน“อย่างที่บอกว่า การทำงานคือกำไรชีวิต ปิ๊งเริ่มจากจุดที่อยู่ทำให้เราเห็นภาพเล็ก-กลาง-ใหญ่ ในการทำงาน ปิ๊งแฮปปี้กับการทำงานอยู่ตรงนี้ ต่อให้ผิดพลาดก็ได้เรียนรู้ ที่สำคัญความผิดพลาดของเราไม่ได้ทำให้องค์กรเสียหายใหญ่หลวง เท่าคนที่อยู่ตำแหน่งสูง ทุกวันนี้เรามองภาพตัวเองเป็นพนักงานคนหนึ่ง ที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่”

ที่สุดแห่งความภาคภูมิใจสำหรับโปรเจกต์สำคัญที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยังอดภูมิใจไม่ได้ อย่าง ไอคอนสยาม สาวสวยบอกเล่าอย่างออกรสว่า “ยุ่งมาก จนลืมภูมิใจเลยค่ะ (หัวเราะ) ช่วงก่อนเปิดห้าง 1 สัปดาห์ ได้นอนวันละครึ่งชั่วโมง อย่างที่บอกหน้าที่หลักของปิ๊งคือ ต้องดีลกับ Influencer จัด Routing อย่าง ซีวอน และเอฟ 4 ปิ๊งเป็นคนเสนอชื่อแล้วให้ผู้บริหารเลือกอีกที

วินาทีที่ปิ๊งรู้สึกภูมิใจและหายเหนื่อยจริงๆ คือ ในงานเปิดวันที่สอง ตอนที่เห็นโดรนบนฟ้า น้ำตาไหลเลย อาจเพราะเนื้อหาที่เล่าถึงความเป็นไทย ปิ๊งเองอยู่เมืองนอกมาตลอดชีวิต แต่คิดเสมอว่าคนไทยโชคดี เพราะเราเป็นประเทศที่ดีเหลือเกิน เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีวัฒนธรรมที่สวยงาม คนไทยน่ารัก ตอนที่ปิ๊งเห็นโดรนแปรขบวนเป็นรูปธงชาติไทย และแผนที่ประเทศไทย ก่อนจะปิดท้ายด้วย ไอคอนสยาม มันสะท้อนว่าเราพยายามรวบรวมความภูมิใจของไทยมาไว้ที่นี่ และบอกให้โลกรู้ว่าเราไม่ได้แพ้ใครในโลกนี้ เรามีศูนย์การค้าที่เทียบเท่าต่างชาติ เราได้เห็นไอเดียที่เคยอยู่ในกระดาษมาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ เป็นอะไรที่ปลื้มมากๆ ที่สำคัญไม่ใช่แค่เราที่ประทับใจแต่ยังได้ฟีดแบคดีจากทั่วโลก”งานนี้ปิ๊งยังบอกด้วยว่า หลังจากลัดฟ้าเรียนต่อ เธอคงคิดถึงไอคอนสยาม แต่เชื่อว่าฟันเฟืองทุกตัวที่ยังช่วยกันขับเคลื่อนเครื่องจักรนี้ จะยังทำหน้าที่อย่างดีที่สุดต่อไป และแม้จะเป็นบทเรียนที่เหนื่อยสาหัสสากรรจ์จนเธอเปรียบเปรยว่า เป็นเบญจเพสครั้งใหญ่ แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ ปิ๊งก็ยังเต็มใจจะเป็นส่วนหนึ่งอยู่ดี ธุรกิจห้าง Never die ท่ามกลางโลกยุคดิสรัปชั่น ทุกธุรกิจถูกซัดโครมด้วยการปรากฏตัวของโลกออนไลน์ โดยเฉพาะ ธุรกิจรีเทล ที่หลายคนมองว่าผู้บริโภคยุคนี้ไม่เดินห้างอีกต่อไป สำหรับสาวสวยเธอมีมุมมองที่คิดต่างอย่างน่าสนใจว่า “ปิ๊งเองก็ซื้อของออนไลน์นะคะ แต่ถ้าถามว่าเราจะซื้อของออนไลน์อย่างเดียว แล้วไม่ออกจากบ้านเลยได้ไหม ถ้า 1 วันได้ 1 เดือนยังไหว แล้วถ้า 1 ปีจะไม่ออกมาเดินห้างเลยได้หรือเปล่า โลกออนไลน์อาจจะเป็นคู่แข่งกับธุรกิจรีเทล แต่ก็ยังมีบางอย่างที่โลกออนไลน์ทดแทนไม่ได้ เช่น ต่อให้เราเป็นคู่เดตออนไลน์ สุดท้ายก็ต้องนัดเจอ ดูหนัง กินข้าวกันอยู่ดี, จะซื้อเสื้อผ้า บางครั้งก็อยากจับเนื้อผ้า หรืออยากลองอยู่ดี หรือบางครั้งนัดเจอเพื่อนแทนที่จะเปิดบ้านต้อนรับเพื่อน 10 คน คงไหว ก็ต้องนัดมาศูนย์การค้าอยู่ดี เพราะฉะนั้น ศูนย์การค้าทุกวันนี้ต้องไม่หยุดพัฒนา เมื่อไหร่ที่เราหยุดเท่ากับแพ้ แต่ปิ๊งเชื่อว่า ศูนย์การค้าไทยสุดยอดอยู่แล้ว ไม่มีศูนย์การค้าไหนในโลก ที่จะให้บริการได้ครบครันกว่านี้ มีทั้งอควาเรียม โรงหนังขนาดใหญ่อยู่ที่เดียวกัน ปิ๊งคิดว่าห้างไทยเราเลยจุดที่เรียกตัวเองว่าเป็นศูนย์การค้าไปแล้ว แต่เราเป็น Attraction ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการ

วันว่างของสาวแอกทีฟทำความรู้จักสาวเก่งผ่านมุมมองการทำงานมาพอสมควร เปลี่ยนบรรยากาศมาคุยเรื่องเบาๆ อย่างไลฟ์สไตล์วันว่างของสาวสวย เธอบอกว่า กิจวัตรประจำวันจันทร์-ศุกร์ เธอต้องเข้ายิมไปคาร์ดิโอแล้วค่อยมาทำงาน ส่วนเวลาที่เหลือเธออุทิศในกับการทำงาน ถ้าจะเห็นว่ามีทริปไปเที่ยวบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ใช่การวางแผนไปเที่ยวแบบตั้งใจ แต่บางครั้งไปทำงานหรือประชุมแล้วแวะไปเที่ยวด้วยมากกว่าสำหรับอนาคตปิ๊งมองว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น เธอไม่วาดภาพยาวเป็น10 ปี แต่จะมองตัวเองในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เป้าหมายตอนนี้คือ ขอเรียนให้จบพร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการตลาดกลับมา พร้อมกันนี้ยังสัญญากับตัวเองว่า จะจริงจังกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ปรับพฤติกรรมการกิน เลิกกินพวกจังก์ฟู้ด มีไลฟ์สไตล์เฮลท์ตีกว่านี้ อีกอย่างที่จะตั้งใจจะทำคือ การสร้างช่องยูทูบของตัวเองชื่อว่า Hello, Pink แนะนำเรื่องแฟชั่น ผ่านมุมองของผู้หญิงทำงานคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้สามารถรับชมได้แล้ว โดยเธอยืนยันว่าต่อให้ไปเรียนต่อก็ไม่เป็นอุปสรรค ยังสามารถทำได้ต่อเนื่อง ส่วนจะน่าสนใจขนาดไหน เธอทิ้งท้ายว่าให้รอติดตามชมกันCredit นางแบบ :: ชญาภา จูตระกูลแต่งหน้า-ทำผม :: ธัญศ์ธภัค เกาะนาค (พระแพง) จากสถาบัน International Makeup Fashion Academy (IMFA) โทรศัพท์ 082–692–4989 สถานที่ :: โรงแรมสยามแคมปินสกี้ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0–2162–9000

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0