ความลับ…บ่งบอกความจริง
เคยตั้งคำถามว่ารัฐบาลจีนจะให้คำตอบแก่คนไทยและรัฐบาลไทยอย่างไรกับกรณีความเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่หนีคดีจำนำข้าวออกนอกประเทศ
จนกระทั่งมีข่าวจากเซาท์ มอร์นิ่งโพสต์ของฮ่องกง ได้รายงานว่า เอกสารในการเข้าบริหารบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชั่นในฮ่องกง โดยไม่ได้ระบุว่าดำเนินธุรกิจอะไรกันแน่
แต่หลังจากที่เปิดบริษัทดังกล่าวเพียงแค่ 4 เดือน มีรายงานว่าได้เข้าไปนั่งเป็นประธานบริหารบริษัทซ่านโถ คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์
บริหารท่าเรือซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
ย้อนความไปอีกนิดยังมีการรายงานด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เดินทางออกจากประเทศนั้นได้ผ่านเข้าทางประเทศกัมพูชา และยังมีการระบุว่าได้ใช้พาสปอร์ตของกัมพูชาจึงเดินทางออกได้อย่างสะดวก
ซึ่งเรื่องนี้ทางการกัมพูชาได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้ออกพาสปอร์ตให้แต่อย่างใด เนื่องจากอดีตนายกฯหญิงของไทยเป็นชาวต่างชาติ การจะออกหนังสือเดินทางให้จะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและกษัตริย์ของกัมพูชาจะลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น
หรืออาจจะเป็นพาสปอร์ตปลอมก็ได้
อีกด้านหนึ่งสมเด็จฯฮุน เซน นายกฯกัมพูชา ได้ลงนามคำสั่งยกเลิกการออกหนังสือเดินทางให้ชาวต่างชาติ ที่มาเป็นที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยข้าราชการระดับสูงของกัมพูชา
หนังสือเดินทางที่ออกไปแล้วนั้นให้กระทรวงต่างประเทศเรียกเก็บคืนภายใน 1 เดือน
เท่ากับว่าต่อไปนี้ไม่สามารถใช้พาสปอร์ตกัมพูชา จะฉบับจริงหรือฉบับปลอมก็ตาม เพราะได้มีคำสั่งยกเลิกทั้งหมดแล้ว
ปัญหานี้ย่อมที่จะต้องหาคำตอบว่า ทำไมประเทศเพื่อนบ้านกันแท้ๆ และรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย
เพราะนอกจากจะมีคดีติดตัวแล้วยังนำไปต่อยอดเพื่อจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกงและยังไปนั่งเป็นประธานบริษัทใน ประเทศจีน ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่นจีน
เท่ากับว่ารัฐบาลต้องทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทใหม่และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้พ้นจากตำแหน่งประธานบริษัทเรียบร้อยไปแล้ว
นั่นเป็นปฏิกิริยาที่สอดรับกันอย่างเป็นรูปธรรม
คือไม่สามารถใช้พาสปอร์ตของกัมพูชาได้อีกต่อไปแล้ว และไม่สามารถดำเนินธุรกิจอย่างเปิดเผยในประเทศจีนได้
ก่อนหน้านี้ที่น่าสังเกตชัดเจนคือแม้ว่า 2 อดีตนายกฯของไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศจีน แต่มีข้อแม้ห้ามกล่าวถึงเรื่องการเมืองที่เกี่ยวกับประเทศไทย
ดังนั้น การดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองจึงต้องไปโผล่ที่ฮ่องกงหรือประเทศอื่น หากไม่ปฏิบัติคงถูกห้ามเข้าประเทศแน่
ด้วยเหตุและผลว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา หรือไทย-จีน ซึ่งมีความแนบแน่นกันด้วยดีมาตลอด
จึงต้องเข้าใจความรู้สึกของคนไทยและรัฐบาลไทย
การที่รัฐบาลกัมพูชาออกมาปฏิเสธเรื่องหนังสือเดินทางหรือการไม่ได้เป็นประธานบริษัทซัวเถา ก็เท่ากับว่าแคร์ต่อคนไทยและรัฐบาลไทยด้วยน้ำใสใจจริง
นั่นเท่ากับว่าวิธีการต่างๆนานาที่กระทำไปนั้น อย่าคิดว่าจะเป็นความลับดำมืด แต่ความจริงก็ต้องปรากฏไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง
ยิ่งทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งคนที่มีสำนึกย่อมไม่กระทำเช่นนั้น.
“สายล่อฟ้า”