หลายๆ ท่านคงมีคำถามในใจว่าคุ้มหรือไม่ที่จะตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท จุดประสงค์ของแต่ละท่านคงแตกต่างกันไม่ว่าจะเข้าศึกษาเพื่อเพิ่มพูนทักษะ ประสบการณ์ และการเข้าถึงโอกาสต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือจำเป็นต้องศึกษาเพื่อหน้าที่การงาน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ปัจจัยหลักที่ควรใช้ในการพิจารณา อาทิ หลักสูตร ระยะเวลาตลอดการศึกษา สถานที่บรรยาย การเดินทาง รวมไปถึงค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร เป็นต้น
สำหรับการศึกษาในประเทศ หลักสูตรมีรูปแบบการบรรยายเป็น ‘ภาษาไทย’ และหรือ ‘ภาษาอังกฤษ’ โดยมีทั้งการศึกษา ‘ภาคปกติ’ ซึ่งศึกษาในเวลาราชการ กับการศึกษา ‘ภาคพิเศษ’ ที่สามารถศึกษาในช่วงภาคค่ำวันธรรมดา และหรือวันเสาร์ วันอาทิตย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดตารางการบรรยายของแต่ละหลักสูตร
“การศึกษาภาคพิเศษเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมจากพนักงานออฟฟิศ โดยสามารถศึกษาควบคู่ไปกับการทำงานได้ นอกจากนี้ เนื้อหาในแต่ละรายวิชาคือสิ่งที่ผู้สนใจเข้าศึกษาควรพิจารณาว่าตรงกับความคาดหวังและเป้าหมายในอนาคตของตนด้วยหรือไม่ โดยทั่วไปจะใช้เวลาศึกษาตลอดหลักสูตรประมาณ 2ปี”
สำหรับ ‘สถานที่ในการบรรยาย’ มีทั้งหลักสูตรที่บรรยาย ณ มหาวิทยาลัย (บางหลักสูตรมีการเปิดสถานที่เรียนตามย่านธุรกิจ) บรรยายผ่านช่องออนไลน์ หรือมีทั้งสองรูปแบบผสมผสานกัน ผู้เข้าศึกษาควรพิจารณาตารางเรียนและความสะดวกในการเดินทาง เพื่อให้การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานและการเรียนมีความสมดุล
นอกเหนือจากปัจจัยแวดล้อมข้างต้น ‘ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร’ คือสิ่งสำคัญที่จะต้องเตรียมพร้อม ผู้เขียนขอยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายโดยประมาณตลอดหลักสูตรที่ 250,000บาท เตรียมความพร้อมล่วงหน้า 3 ปีก่อนเริ่มศึกษา ใช้ ‘สูตร 6-7-8’ ก็สามารถสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างไม่ยากนัก
ที่มาของสูตร 6-7-8 เกิดจากการพิจารณาเรื่องของงบประมาณส่วนบุคคล ซึ่งประกอบด้วยส่วนหลักๆ ได้แก่ รายรับ ภาษีและภาระผูกพันจากการจ้างงานอื่นๆ รายจ่ายคงที่ รายจ่ายผันแปร และการออมและการลงทุน เนื่องด้วยบางหลักสูตรในปริญญาโทจะต้องอาศัยประสบการณ์ทำงานก่อนการสมัครเข้าศึกษา
จากรายงาน Adecco Thailand Salary Guide 2019 ที่เงินเดือนเริ่มต้นของพนักงานที่มีประสบการณ์ทำงาน 1-5 ปี โดยส่วนใหญ่มีอัตราเงินเดือนขั้นต่ำที่สูงกว่า 20,000 บาท ผู้เขียนจึงขอตั้งสมมติฐานว่าพนักงานที่ทำงานมากกว่า 2 ปีขึ้นไป คาดว่าจะมีเงินเดือนอย่างน้อย 25,000 บาท (คาดว่ามีการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยปีละ 5%)
ในแต่ละเดือนมีการนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนประกันสังคมรวมทั้งสิ้น 2,000 บาท หรือคิดเป็น 8% ของเงินเดือน มีรายจ่ายคงที่ประมาณ 20% ของเงินเดือน เช่น ค่าผ่อนชำระรถยนต์ ที่อยู่อาศัย ค่าเบี้ยประกันต่างๆ เป็นต้น
“ทั้งนี้หากยังไม่มีภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวมากนัก อาจมีรายจ่ายคงที่ในสัดส่วนที่น้อยกว่า 20% ของเงินเดือน ‘รายจ่ายผันแปร’ เช่น ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ค่าสังสรรค์นันทนาการ ค่ารักษาพยาบาลและอื่นๆ รวมประมาณ 40-50% ของเงินเดือน”
หลังจากคำนวณค่าใช้จ่ายตามที่ได้ประมาณการไว้ คาดว่าจะมีเงินสำหรับการออมและการลงทุนประมาณ 20-30% ของเงินเดือน หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 5,000 - 7,500 บาท โดยจำนวนเงินประมาณการสำหรับการออมและการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ เมื่อรายได้สูงขึ้นจากการปรับขึ้นของเงินเดือนหรือการหารายได้เสริม รวมไปถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ลดลงโดยตัดทอนบางรายการที่ไม่จำเป็นออกไป
‘สูตร 6-7-8’ คือ การเก็บเงินเท่ากันทุกๆ เดือน ในปีแรกเก็บเดือนละ 6,000บาท ปีที่สองเก็บเดือนละ 7,000บาท และปีที่สามเก็บเดือนละ 8,000บาท เงินที่ทยอยเก็บหอมรอมริบไว้ก็จะมีเงินต้นที่สูงถึง 252,000 บาท หรือมากกว่าด้วยการให้เงินทำงาน ผ่านรูปแบบ‘เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ’ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป
หรือพิจารณาลงทุนใน ‘กองทุนตลาดเงิน’ หรือ‘กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น’ ด้วยการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน หรือเรียกว่า ‘DCA (Dollar Cost Average)’
“ส่วนเพิ่มจากการฝากหรือการลงทุนที่เกินจากเป้าหมาย 250,000 บาท ก็เก็บไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตอนกำลังศึกษาปริญญาโท หากมีเวลาเตรียมพร้อมน้อยกว่า 3 ปี จะต้องเพิ่มเงินเก็บแต่ละเดือนให้มากขึ้น เพื่อให้ยังสามารถบรรลุเป้าหมายได้”
อนึ่งสำหรับท่านที่มีเป้าหมาย 300,000 บาท ภายใน 3 ปี หากมีความสามารถในการเก็บออมได้ในจำนวนที่สูงกว่าตัวอย่างข้างต้น อาจพิจารณาการปรับใช้เป็น ‘สูตร 8-9-10’ โดยเก็บเงินเดือนละ 8,000 บาท 9,000บาท และ 10,000 บาทใ นปีที่ 1 2 และ 3 ตามลำดับ ก็จะมีเงินต้นที่สูงถึง 324,000 บาท
อย่างไรก็ดีเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของหลายๆ ท่านที่มีความจำเป็นต้องเข้าศึกษา แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ ท่านอาจพิจารณาเลือกหลักสูตรที่มีการ ‘มอบทุนการศึกษา’ หรืออาศัยการกู้ยืมจากธนาคารในรูปแบบ ‘สินเชื่อเพื่อการศึกษา’ โดยหลักประกันเงินกู้ของแต่ละธนาคารมีหลากหลาย ตัวอย่างรูปแบบการค้ำประกัน ได้แก่ เงินฝากค้ำประกัน หลักทรัพย์ค้ำประกัน บุคคลค้ำประกัน เป็นต้น
“ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยตามวงเงินกู้ยืม รูปแบบการค้ำประกันและระยะเวลาในการชำระคืน ทั้งนี้ ผู้กู้พึงชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้นตามที่ได้ทำสัญญากับธนาคารไว้ หากผิดนัดชำระแล้ว อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับสูงขึ้นตามประกาศของธนาคาร จะทำให้ผู้กู้เกิดภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นและอาจประสบปัญหาต่อการขอสินเชื่อประเภทอื่นๆ ได้ในอนาคต”
หากมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย การศึกษาในรูปแบบอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘หลักสูตรออนไลน์ระยะสั้น’ ที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งบางหลักสูตรได้เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกสามารถลงทะเบียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากดำเนินการครบตามเงื่อนไขที่กำหนดก็อาจจะได้รับประกาศนียบัตร
ผู้อ่านน่าจะมีคำตอบในใจแล้วว่า “คุ้มหรือไม่”…ที่จะตัดสินใจศึกษาต่อระดับ ‘ปริญญาโท’หากมุ่งมั่นที่จะเข้าศึกษาแล้ว ขอให้มีวินัยในการเริ่มเก็บออม ก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายเก็บเงินเพื่อเรียนปริญญาโทได้ หากท่านใดมีความจำเป็นต้องหยิบยืมก็ต้องมีวินัยในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น เพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาระในภายภาคหน้า
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand , TFPA Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th