เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. ของวันศุกร์ที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา คนร้ายชุดดำอย่างน้อย 6 คน แต่งตัวคล้ายทหาร พร้อมอาวุธปืนไรเฟิล บุกเข้าไปในวัดรัตนานุภาพ อ.สุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส และเปิดฉากกราดยิงพระภิกษุสงฆ์ภายในวัดอย่างอำมหิตไร้ปรานี มีพระสงฆ์มรณภาพ 2 รูป คือ พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัด และอีกรูปเป็นรองเจ้าอาวาส ยังมีบาดเจ็บอีก 2 รูป ก่อนคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์หลบหนีลอยนวล
นับเป็นครั้งแรกที่มีการโจมตีพระสงฆ์ในพื้นที่ในรอบมากกว่า 3 ปี ทำให้สถานการณ์ปลายด้ามขวานร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งสร้างความคับแค้นใจต่อประชาชนทั้งชาวพุทธและมุสลิมในพื้นที่ และประชาชนทั่วประเทศต่างแสดงความโกรธแค้นต่อการกระทำที่ไร้ยางอายของกลุ่มโจร ที่ลงมือได้แม้กระทั่งกับผู้ทรงศีลที่ไม่มีอาวุธ
ลมหายใจแห่งสันติภาพปลายด้ามขวานกลับมาขาดห้วงและรวยรินอีกครั้ง
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ หวังว่าจะปลุกต่อมสำนึกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหา และกระตุ้นความฮึกเหิมของผู้คนในพื้นที่ลุกขึ้นมาสามัคคีช่วยกันป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับคนทั้ง 2 ศาสนา มิเช่นนั้นสถานการณ์ก็จะเป็นอยู่แบบเดิม โจรก็ก่อเหตุหวังสร้างความขัดแย้งให้คน 2 ศาสนา ทั้ง ๆ ที่อยู่กันอย่างสงบสุขเสมอมา ซึ่งตอนนี้ ผู้คนรู้แล้วว่า ผู้ก่อความไม่สงบหวังปั่นหัวพี่น้องทั้ง 2 ศาสนา และมันยิ่งจะไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่พวกเขาต้องการ เพราะหลังเกิดสถานการณ์ฆ่าพระสงฆ์ล่าสุดนี้ ประชาชนกลับแสดงความกลมเกลียวกันมากขึ้น
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้นำทางศาสนา ออกมาประณามการโจมตีพระสงฆ์ในวัดรัตนานุภาพ หรือวัดโคกโก ในจังหวัดนราธิวาส พื้นที่ที่เกิดความรุนแรงมายาวนาน
“นายกรัฐมนตรีประณามการกระทำที่อุกอาจครั้งนี้ และได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการสอบสวน เพื่อนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี” สำนักนายกรัฐมนตรีระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง
เช่นเดียวกับบรรดาผู้นำมุสลิม ก็ประณามเหตุการณ์โจมตีพระสงฆ์ โดยสำนักจุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวมุสลิมในประเทศไทย ออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 19 มกราคม ระบุว่า “พวกเราเรียร้องให้ผู้ก่อความไม่สงบทุกฝ่ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หยุดเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์และผู้นำศาสนา ไม่มีศาสนาใดที่สอนให้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ มันเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความแตกแยก” พร้อมทั้งแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
ด้านกลุ่มฮิวแมน ไรท์ วอทช์ กลุ่มสิทธิมนุษยชนชื่อดัง ซึ่งระบุในแถลงการณ์ว่า มีพระสงฆ์อย่างน้อย 23 รูปถูกฆ่าตั้งแต่เกิดความรุนแรงปะทุขึ้นในปี 2547 เรียกการโจมตีครั้งนี้ว่า “น่ากลัวมาก” และเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม เพราะคนร้ายลงมือกับพลเรือนและในศาสนสถานด้วย
เอเอฟพี รายงานว่า ตั้งแต่เกิดการปะทะกันในปี 2547 ระหว่างกบฏชนกลุ่มน้อยมุสลิมมาเลย์ และรัฐบาลไทย มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 7,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนของทั้ง 2 ศาสนา ตัวเลขผู้เสียชีวิตในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลดลงมากเป็นสถิติเมื่อปีที่แล้ว เพราะรัฐบาลทหารคุมเข้มความมั่นคง แต่ความรุนแรงก็ยังระอุขึ้นมาได้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับเป้าหมายที่อ่อนไหว เช่นโรงเรียนและสถานที่สำคัญทางศาสนา ในอดีตที่ผ่านมา พระสงฆ์เท่านั้นที่ตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตีบ่อยครั้ง
แต่หลังเกิดเหตุครั้งล่าสุดนี้ พระสงฆ์ได้รับคำแนะนำให้งดการออกบิณฑบาตในช่วงเช้าก่อนเริ่มจากวันเสาร์ที่ 19 มกราคมเป็นต้นไป ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และแม่ทัพภาค 4 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงดูแลความปลอดภัยให้ผู้นำอิสลาม ซึ่งอาจตกอยู่ในความเสี่ยงด้วย
กลุ่มดีฟ เซาท์ วอทช์ ซึ่งเป็นกลุ่มอิสระตรวจสอบความรุนแรงในพื้นที่ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดจากกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ลากยาวต่อเนื่องมากว่า 15 ปี ประชาชนถูกฆ่าไปแล้วมากกว่า 6,900 ราย และบาดเจ็บ 13,000 คน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547
ประเทศไทย เป็นประเทศพุทธศาสนา แต่ชาวมุสลิมมาเลย์เป็นชนกลุ่มใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่มีพรมแดนติดกับมาเลเซีย โดย 3 จังหวัด และพื้นที่อีกเล็กน้อยของจังหวัดสงขลา ที่อยู่ติดกัน เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่เคยเป็นอาณาจักรของสุลต่าน ซึ่งถูกไทยยึดครองในปี พ.ศ.2452 หรือกว่า 110 ปีแล้ว และยังคงเกิดความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าร้อยปีแล้วก็ตาม
ในเหตุการณ์ฆ่าพระสงฆ์ในวัดรัตนานุภาพเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ ผู้นำชาวพุทธและมุสลิม รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ต่างตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มก่อความไม่สงบ
มีพระสงฆ์อย่างน้อย 23 รูป ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด และบาดเจ็บมากกว่า 20 รูป ตั้งแต่ปี 2547 แต่ไม่มีการโจมตีพระสงฆ์มาตั้งแต่ปี 2558
แต่เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา อิหม่าม หรือผู้นำในการละหมาด ก็ถูกยิงเสียชีวิต ในจังหวัดนราธิวาสเช่นกัน อีกทั้งการโจมตีวัดรัตนานุภาพเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคง 4 คนได้รับบาดเจ็บจากระเบิดข้างถนน 2 ครั้งแยกกัน และคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1 คน ในการปะทะกันใกล้โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทำให้นักเรียนต้องกลับบ้านก่อน
นอกจานี้ อาสาสมัครป้องกันภัยพลเรือน 4 คน ก็ถูกสังหารในเหตุการณ์ยิงต่อสู้กันนอกโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตนีเมื่อวันที่ 10 มกราคม
การเข่นฆ่าผู้นำศาสนา ได้เพิ่มมิติความขัดแย้งทางศาสนา ที่ฝังรากลึกในพื้นที่อยู่แล้วจากปัญหาความตึงเครียดทางเชื้อชาติ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง
บรรดานักวิเคราะห์ กล่าวว่า เหตุการณ์ล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นว่า กลุ่มขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือบีอาร์เอ็น ยังคงสามารถหลบหลีกสายตาของทหารมาก่อเหตุได้ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามกวาดล้างก็ตาม
รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ เข้าร่วมในการเจรจา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อยุติความรุนแรงในพื้นที่ ตั้งแต่ปี 2558 โดยมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย แต่บีอาร์เอ็น ไม่ได้ร่วมโต๊ะเจรจาด้วย กระบวนการเจรจาหยุดชะงักเมื่อปีที่แล้ว และรัฐบาลก็ได้ส่งสัญญาณว่า จะกลับสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งในปีนี้
ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก ลงวันที่ 4 มกราคม กลุ่มบีอาร์เอ็น สาบานว่า จะเดินหน้าต่อสู้กับรัฐบาลไทยต่อไป พร้อมเตือนด้วยว่า อย่าช่วยและสนับสนุนสยาม
ตราบใดที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่หันหน้ามาพูดคุยกัน สันติภาพปลายด้ามขวานก็อย่าหวัง ผู้บริสุทธิ์ประชาชนพลเรือนตาดำ ๆ ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงต่อไป
แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ลมหายใจกลับคืนสู่ปลายด้ามขวาน?
